เข้าใจบทบาทของร้านรับฝากขายให้ลึกขึ้น
หลายแบรนด์ฝากขายอาจมีคำถามว่า
“ก็จ่ายค่า GP และค่าเช่าชั้นวางแล้ว ทำไมยังต้องจ่ายค่าระบบฝากขายอีก?”
หรือแม้กระทั่ง
“ทำไมร้านไม่ออกให้ล่ะ?”
คำตอบคือ… เพราะการเปิดร้านมัลติแบรนด์ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และ ร้านรับฝากขาย ก็มีต้นทุนในการบริหารมากกว่าที่หลายคนคาดคิด
ร้านรับฝากขายไม่ได้แค่ “วางของ” แล้วรอขาย
การบริหารร้านรับฝากขายในยุคปัจจุบัน ต้องอาศัยการลงทุนในหลายด้านเพื่อให้แบรนด์ฝากขายขายได้จริง เช่น
🛒 ค่าใช้จ่ายหลักที่ร้านต้องแบกรับ
- ค่าเช่าสถานที่ (สำหรับร้านที่มีหน้าร้านจริง)
- ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแรงพนักงานหน้าร้าน
- ค่าทำการตลาด เช่น ยิงแอด โปรโมทสินค้า
- ค่าจ้างอินฟลูเอนเซอร์ หรือครีเอเตอร์มาช่วยถ่ายคอนเทนต์
- ค่าออกแบบสื่อประชาสัมพันธ์ทั้งร้านและแบรนด์
ซึ่งทั้งหมดนี้ ร้านต้องแบกรับเพื่อให้ทุกแบรนด์ขายได้ โดยไม่ได้คิดแยกชัดเจนเป็นรายแบรนด์
แล้ว “ค่าระบบฝากขาย” มีผลกระทบอย่างไร?
การใช้ ระบบบริหารจัดการร้านค้า คือหัวใจของการจัดการหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลสินค้า การสรุปยอดขาย การเช็คสต็อก และการจัดการโปรโมชั่น
หากร้านมีแบรนด์ฝากขาย 50 แบรนด์ แล้วต้องออกค่าระบบให้ทั้งหมด เท่ากับร้านต้องจ่ายเพิ่มเดือนละ 5,000 บาท
ซึ่งอาจเป็นต้นทุนที่ทำให้ร้านขาดแรงผลักดันในการโปรโมทแบรนด์อย่างเต็มที่
🤝 ถ้าแบรนด์จ่ายค่าระบบเอง = สบายทั้งสองฝ่าย
แบรนด์ฝากขาย ได้ประโยชน์เต็มที่
- ✅ เข้าถึงระบบบริหารจัดการร้านค้าได้โดยตรง
- ✅ ดูยอดขายแบบเรียลไทม์ ไม่ต้องรอร้านสรุป
- ✅ ควบคุมข้อมูลสินค้า โปรโมชัน และสต็อกได้เอง
- ✅ วางแผนการตลาดได้แม่นยำมากขึ้น
ร้านรับฝากขาย บริหารง่ายขึ้น
- ✅ ไม่ต้องแบกต้นทุนค่าระบบให้ทุกแบรนด์
- ✅ มีงบไปโฟกัสกับการโปรโมทร้านและแบรนด์มากขึ้น
- ✅ บริหารร้านและให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น
สรุป: การจ่ายค่าระบบไม่ใช่ “ภาระ” แต่คือ “การร่วมกันออกแบบระบบขายที่ยั่งยืน”
การที่แบรนด์จ่ายค่าระบบเอง ไม่ได้แปลว่าแบรนด์เสียเปรียบ แต่คือการวางโครงสร้างให้ ตลาดฝากขายเติบโตอย่างยั่งยืน
ร้านไม่เหนื่อย แบรนด์ขายดี ระบบลื่นไหล = Win-Win ทุกฝ่าย
เพียง 100 บาทต่อเดือน แต่ช่วยให้ทุกกระบวนการหลังบ้านทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่าให้ร้านต้องแบกรับทุกอย่างเพียงลำพัง เพราะธุรกิจที่ยั่งยืน…ต้องโตไปด้วยกัน 💼✨