การกระตุ้นยอดขาย หรือการจัดโปรโมชั่นสินค้า เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เกิดการกระตุ้นให้ลูกค้า เข้ามาซื้อสินค้าของเรามากขึ้น และยังสามารถดึงดูดความสนใจให้กับลูกค้าได้อีกด้วย แต่ก่อนที่เราจะจัดโปรโมชั่นในแต่ละครั้ง เราต้องตั้งเป้าหมายไว้ก่อนว่า การจัดโปรโมชั่นสินค้า ครั้งนี้ ทำเพื่ออะไร และคาดการณ์ถึงผลลัพธ์ที่เราจะได้ เช่น การจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย การจัดแคมเปญเพื่อระบายสต๊อกสำหรับสินค้าที่คงค้างมานานทำให้กลับมาขายดี หรือขายได้อีกครั้ง  การจัดโปรโมชั่นเพื่อขยายฐานลูกค้า หรือ อาจจะเป็นการจัดแคมเปญเปิดตัวสินค้าใหม่ เพื่อทำให้เกิดการรับรู้สำหรับลูกค้า และเกิดความน่าสนใจสำหรับตัวสินค้านั้น ๆ เพื่อที่เราจะได้คิดโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และยังสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากที่สุดนั่นเอง.

สำหรับการจัดโปรโมชั่นสินค้านั้น อาจจะต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าทั้งตัว Value ของตัวสินค้า และ Volume เพื่อเกิดการซื้อขายสินค้า เพราะถ้ามากเกินไปก็อาจจะไม่ส่งผลดีต่อตัวสินค้า เช่น ลดราคาเยอะเกินไป เพราะในบางกรณี ลูกค้าอาจจะสงสัยในคุณภาพของสินค้าเหล่านั้น ว่าได้มาตรฐานหรือไม่ หรือกำลังจะหมดอายุการใช้งานในเร็ววัน และ อาจทำให้คุณค่าของสินค้านั้น ๆ ลดลงไปเองโดยปริยายอีกด้วย

วันนี้ MultiOne ขอนำเสนอและแนะนำไอเดีย การจัดโปรโมชั่นสินค้า จัดแบบไหนถึงจะปัง จัดแบบไหนถึงจะดีแบบไม่ต้องมูเตลู !
เพราะแทรนด์ที่กำลังเข้ามาตอนนี้ ไม่ว่าจะแม่ค้า พ่อค้า หรือหน้าร้านต่าง ๆ ก็ต้องพึ่งสายมูกันทั้งนั้น และการเข้าถึงสายมูนั้นก็ง่ายซะเหลือเกิน วันนี้ MultiOne เราจึงมาแนะนำไอเดีย จัดโปรให้ปัง แบบไม่ต้องพึ่งมูเตลู

1. การจัดโปรโมชั่น ซื้อ 1 ฟรี 1

เรียกได้ว่าโปรโมชั่น 1 ฟรี 1 หรือ Buy 1 Get 1 Free ทำให้ใคร ๆ ก็ใจสั่น เมื่อเห็นคำว่า ฟรี ! ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การจัดโปรโมชั่น 1 ฟรี 1 เป็นแคมเปญที่ง่าย และเห็นผลลัพธ์ได้ดีมาก ๆ ในการระบายสินค้า เพราะโปรโมชั่น 1 ฟรี 1 เป็นโปรโมชั่นที่เล่นกับความรู้สึกของลูกค้า และยังช่วยดึงดูดการซื้อขายได้เป็นอย่างมากอีกด้วย. 

การใช้โปรโมชั่น 1 ฟรี 1 สามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกสนใจสินค้าชิ้นนั้นมากขึ้น แม้ว่าบางครั้ง มูลค่าของสินค้าอาจจะไม่ต่างกับการลดราคาสินค้า 50% อย่างไรก็ตามการจัดโปรโมชั่น 1 ฟรี 1 ถึงแม้จะดึงดูดลูกค้าได้ดีแค่ไหน ทางร้านค้าหรือผู้ประกอบการ อาจจะยังต้องคำนึงถึงต้นทุนและความคุ้มค่าของสินค้า และตัวผลลัพธ์ที่เราเรียกว่า กำไร ของผู้ประกอบการอีกด้วย.

2. การจัดโปรโมชั่น ลดราคาสินค้าเป็นเปอร์เซ็นต์

ข้อแรกเลย ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ นั่นคือ การลดแบบเปอร์เซ็นต์ วิธีนี้ ถือเป็นการลดราคาแบบพื้นฐาน ซึ่งสามารถจัดโปรโมชั่นนี้ได้ตลอดทุกช่วงเวลา และเทศกาลสำคัญ โดยคุณสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ 5%  , 10%  , 15% ไปจนถึง 90% กันเลยทีเดียว!

ข้อดีของการลดเป็น %  คือการทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่า มากกว่าการลดเป็นจำนวนเงิน เช่น เสื้อราคา 200 บาท เมื่อติดป้ายลดราคา 20 บาท ลูกค้าอาจจะรู้สึกว่าสินค้านั้น ๆ ลดน้อยเกินไป กลับกัน ถ้าเปลี่ยนเป็น ลด 10% – 20%  จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ามากกว่า ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วราคาที่ลดลงนั้น เท่ากันนั่นเอง.

3. Flash Sale หรือ Flash Deal

การจัดโปรโมชั่นสินค้า โดยกำหนดระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการตัดสินใจซื้อสินค้าอย่างรวดเร็ว การใช้โปรโมชั่นในช่วงเวลาพิเศษ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า ต้องรีบคว้าสินค้าชิ้นนั้นเอาไว้ ตัวอย่าง เช่น โปรโมชั่น 1.1 , 6.6 , 9.9 , Mid-year Sale เป็นต้น. หรือการจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าเป็น Prime Time เช่น 19.00 – 21.00 นี้เท่านั้นลดไปเลย 50% การจัดโปรโมชั่นแบบนี้ก็สามารถกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความสนใจ และถ้ามีการจัดแบบนี้ประจำ (Consitency) ยังถือเป็นการทำ Branding ไปในตัวเพื่อสร้างความจดจำให้กับลูกค้าได้อีกด้วย

4. การจัดโปรพิเศษ เฉพาะสมาชิก

วิธีนี้ ถือเป็นการยกระดับสำหรับลูกค้าที่เป็นสมาชิกสำหรับร้านค้าเองอยู่แล้ว การจัดโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับสมาชิก ถือเป็นการทำการตลาดรูปแบบใหม่ เพราะนอกจากกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าซ้ำแล้ว เรายังสามารถกระตุ้นให้สมาชิกนั้น ๆ เป็นลูกค้าประจำได้อีกด้วย  ยังช่วยให้สมาชิกเกิดความรู้สึกที่พิเศษเกี่ยวกับร้านเราอีกด้วย  นอกจากนั้นยังสามารถดึงดูดให้ลูกค้าใหม่มาเป็นสมาชิกกับเรามากยิ่งขึ้น.

5. แจก Voucher หรือคูปองส่วนลด

การแจกคูปองส่วนลดหรือ voucher ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่ช่วยส่งเสริมการซื้อ – ขาย และกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้ามากขึ้น ทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์ใหม่ และผลิตภัณฑ์แนะนำ ทั้งนี้ถือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อลูกค้าที่ใช้บริการเรา และเพิ่มแรงจูงใจให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ จนกลายเป็นลูกค้าประจำ ตัวอย่างเช่น แจก voucher เพื่อเป็นส่วนลดให้กับผลิตภัณฑ์ใหม่, สนับสนุนให้ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์เพิ่ม โดยการแจก voucher เพื่อเป็นส่วนลดในการซื้อครั้งต่อไป รวมถึงการแจก voucher ทดลองสินค้าและบริการฟรี เพื่อให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าและบริการในอนาคต หลังจากได้ทดลองใช้สินค้าและบริการของเรา เป็นต้น

6. รีวิวสินค้าพร้อมรับสิทธิพิเศษ

การรีวิวสินค้าพร้อมรับสิทธิพิเศษ เป็นอีกกลยุทธ์ทางการตลาดในการจัดโปรโมชั่น ที่นอกจากจะกระตุ้นยอดขายให้กับทางร้านแล้ว ยังเป็นการโปรโมทสินค้าและบริการไปในตัว เป็นการสร้างการรับรู้ให้บุคคลภายนอกได้รู้จักเรา และเข้ามาซื้อสินค้าและบริการ.

7. สะสมแต้มแลกรางวัล

การจัดโปรโมชั่นโดยสะสมแต้ม เพื่อนำแต้มไปรับสิทธิพิเศษ หรือ ส่วนลดต่าง ๆ จะเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าและบริการของเรามากขึ้น การสะสมแต้มนั้น มีทั้งในรูปแบบของการซื้อสินค้าตามราคาที่กำหนด หรือจำนวนที่กำหนด เพื่อรับแต้มสะสม รวมไปถึงบัตรสะสมแต้มหรือการสะสมแสตมป์ เพื่อนำแลกรางวัล (reward) เช่น ซื้อครบ 50 บาท รับ 1 แต้ม, ซื้อกาแฟ 1 แก้ว รับแสตมป์สะสม 1 ดวง สะสมครบ 10 ดวงรับฟรี 1 แก้ว เป็นต้น.

จะเห็นได้ว่า การจัดโปรโมชั่นโดยการสะสมแต้มนั้น ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้า เกิดการซื้อสินค้าและบริการซ้ำ จนเกิดเป็นแบรนด์รอยัลตี้นั่นเอง.

ทั้งหมดนี้ เป็นแนวทางการจัดโปรโมชั่นสินค้า ที่จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้า และ บริการของเรามากขึ้น ในการจัดโปรโมชั่นแต่ละครั้ง อย่าลืมตั้งเป้าหมาย และ จุดประสงค์ให้ชัดเจนล่ะ!!

สนใจร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ MultiOne คลิกที่นี่ เรามีแบรนด์สินค้า และ ร้านค้าพาร์ทเนอร์ ในระบบมากมายให้คุณเลือก พร้อมด้วยฟังก์ชั่นระบบหลังบ้านที่ครบครัน ช่วยให้การจัดโปรโมชั่นระหว่างร้านกับแบรนด์ เป็นเรื่องง่ายขึ้น.

Learn More

ก่อนเปิดร้านมัลติแบรนด์ นั้น อย่างที่รู้กันดีว่า ผู้ประกอบการร้านค้ายุคใหม่นั้น จะต้องเปิดร้านให้มีการผสมผสานกัน ระหว่างออฟไลน์ และ ออนไลน์ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า สำหรับใคร ที่คิดจะเปิดร้านมัลติแบรนด์ในตอนนี้ ก็ยังคงต้องมีทั้งหน้าร้าน และเว็บขายของออนไลน์เลยแหละ ถึงจะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด และ อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้  และ แม้จะมีเทรนด์ขายของออนไลน์เกิดขึ้นมามากมาย แต่ก็ใช่ว่าหน้าร้านออฟไลน์จะไม่มีลูกค้าหรอกนะ เพราะว่ายังมีลูกค้าบางกลุ่ม ที่ชอบเดินช้อปปิ้งตามร้านต่าง ๆ และ รู้สึกสบายใจที่ได้เห็น ได้จับสินค้า และ ลองสินค้าด้วยตนเอง. ดังนั้น สำหรับใคร ที่กำลังตัดสินใจเปิดร้านมัลติแบรนด์อยู่ และ ยังไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง จึงจะเปิดร้านได้อย่างประสบความสำเร็จ ต้องทำยังไง ถึงจะขายดี มีกำไร หรือ แม้กระทั่งทำให้ลูกค้าติดใจ และ อยากกลับมาซื้อของที่ร้านอีก วันนี้น้องมัลตี้ก็มี 7 สิ่งที่ผู้ประกอบการมือใหม่ควรพิจารณา ก่อนเปิดร้านมัลติแบรนด์ มาฝากด้วย.

สิ่งที่ 1 วางคอนเซ็ปต์ร้านมัลติแบรนด์

     

แน่นอนว่า สิ่งแรกที่ผู้ประกอบการมือใหม่จะต้องพิจารณา คือ คอนเซ็ปต์ของร้าน เพื่อจะหาและเลือกสินค้าจากแบรนด์ ที่คอนเซ็ปต์ตรงกัน ตีตลาดกับกลุ่มลูกค้าที่ไม่กว้างจนเกินไป และ สิ่งสำคัญในส่วนนี้ คือ คอนเนคชั่นกับแบรนด์ เพราะคอนเนคชั่นนั้น เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยให้สิ่งที่เจ้าของธุรกิจต้องการเกิดขึ้นได้ง่ายในพริบตา.

สิ่งที่ 2 พิจารณาค่าเช่า

     

สิ่งต่อมาที่ผู้ประกอบการจะต้องมี คือ พื้นที่ในการเปิดหน้าร้านของตัวเอง จึงต้องหาเช่าพื้นที่ ( หากไม่มีพื้นที่เป็นของตัวเอง ) ต้องคำนวณทั้งค่าเช่า ยอดขาย และ กำไรไว้ล่วงหน้าด้วยนะ จะได้วางแผนเปิดร้านค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอย่าลืมที่จะสำรวจว่า ทำเลที่จะเช่านั้นมีลูกค้าเราอยู่หรือเปล่า คำนวณให้ละเอียด ทั้งราคาที่จะขายสินค้า ราคาค่าเช่า ค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ รวมถึงค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ลองเขียนออกมาเป็นข้อ ๆ แล้วคุณจะเห็นภาพชัดยิ่งขึ้น

ไหนจะต้องเลือกทำเล หาที่ปล่อยเช่าอีก  และแม้จะได้ทำเลที่คิดว่าดีที่สุด ก็อาจสะดุดเพราะเศรษฐกิจแย่ ไม่มีลูกค้าหรือปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน  เพราะฉะนั้น คุณควรหลีกเลี่ยงการเซ็นสัญญาระยะยาว จะได้ไม่มีข้อผูกมัดมากเกินไปตั้งแต่เริ่มเปิดร้านขายของ.

สิ่งที่ 3 คาดการณ์ปริมาณลูกค้า

 

น้องมัลตี้จะพาคุณไปสำรวจปริมาณลูกค้า ให้คุณดูลูกค้าบริเวณรอบที่ทำเลในการเปิดร้านมัลติแบรนด์ของคุณก่อน ว่าคอนเซ็ปต์ของสินค้าที่จะขายตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้าในพื้นที่นั้นหรือเปล่า ปริมาณลูกค้าที่จะเข้าร้านอยู่ที่เท่าไหร่ รายได้ของผู้คนบริเวณที่ทำเลเป็นอย่างไร หรือว่า ต้องขายสินค้าแบบไหน   ร้านมัลติแบรนด์ของคุณ ถึงจะโดดเด่น และได้รับความสนใจจากลูกค้า.

 

สิ่งที่ 4 รู้ขั้นตอนการทำงานอย่างถี่ถ้วน

     

ถ้าหากคิดจะเป็นเจ้าของกิจการแล้ว คุณต้องทำงานให้หนักขึ้น เพราะนี่คือร้านของคุณ คุณไม่สามารถมีรายได้ที่แน่นอน เหมือนมนุษย์เงินเดือน เพราะฉะนั้น คุณจะต้องคิดเสมอว่า การเปิดร้านมัลติแบรนด์ครั้งนี้ คือ ธุรกิจที่คุณจะต้องดูแล และพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อให้ร้านของคุณไปรอด

สิ่งที่สำคัญและควรทำในการเป็นนายตัวเองนั้น คุณไม่สามารถหยุดทุกอย่างได้ตามใจตัวเอง แต่ต้องลงมือทำทุกขั้นตอนด้วยตนเอง และ รู้ขั้นตอนการทำงานอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด เริ่มตั้งแต่วิธีการติดต่อ และ การหาซัพพลายเออร์ การสั่งของจากแบรนด์ต่าง ๆ  การทำบิล ศึกษาการตลาด การเช็คสต๊อกสินค้า หรือ แม้กระทั่งการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ซึ่งในฐานะผู้ประกอบการแล้ว คุณจะต้องรู้วิธีการจัดการสิ่งเหล่านี้ อย่างละเอียด ถูกต้อง และ มีประสิทธิภาพ.

สิ่งที่ 5 ขายสินค้าราคาเที่ยงธรรม

ไม่ว่าใคร ๆ ก็ชอบของดีมีคุณภาพ ในราคาที่ต้องจับต้องได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น อย่าขายสินค้าราคาที่สูงเกินราคาที่แบรนด์กำหนด และ ต้องไม่ตั้งราคาที่ต่ำจนเกินไป จะได้ไม่เข้าเนื้อตัวเองจนขาดทุน ลองศึกษาตลาด เปรียบเทียบราคาสินค้า และ ศึกษาคู่แข่งเพื่อทำโปรโมชั่นต่าง ๆ จากนั้นก็ตั้งราคาสินค้า  กับ    โปรโมชั่นที่ใกล้เคียง เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่า สินค้าของคุณราคาสมเหตุสมผล กับคุณภาพของแต่ละแบรนด์.

สิ่งที่ 6 ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย

จะเห็นกันทั่วไปว่า ร้านค้าชั้นนำในห้าง หรือ แบรนด์ดังต่าง ๆ นั้นล้วนใช้ระบบ POS กัน นั่นก็เพราะว่า ระบบ POS คือ ซอฟต์แวร์ หรือ โปรแกรมขายหน้าร้านอัจฉริยะ ที่ช่วยให้การซื้อ – ขายรวดเร็ว สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น คุณไม่ต้องมานั่งจำราคา หรือ จดทุกอย่าง แค่เพิ่มสินค้าเข้าไปในระบบหลังบ้าน ก็ขายหน้าร้านและ ร้านค้าออนไลน์ได้ทันที อีกอย่าง เมื่อมีการขายสินค้าไป ระบบ POS  ก็จะตัดสต๊อกสินค้าโดยอัตโนมัติ หรือ ถ้าสต๊อกเหลือน้อย ระบบก็จะแจ้งเตือนทันที  ไม่ต้องมาเสียเวลานับ หรือ พลาดโอกาสในการขายไป.

แล้วทำไมคุณถึงจะพลาดการใช้ประโยชน์ จากเทคโนโลยีในส่วนนี้ล่ะ MultiOne platform เราให้บริการระบบจัดการร้านมัลติแบรนด์ พร้อมด้วยระบบ POS ที่ช่วยให้การขายของคุณง่าย และ สะดวกขึ้น 

แค่นี้ คุณก็จะสามารถจัดการร้านมัลติแบรนด์ ได้อย่างราบรื่น และ มีประสิทธิภาพมากขึ้น แถมลูกค้าก็จะได้ประสบการณ์การซื้อของดี ๆ จากร้านคุณแน่นอนน้องมัลตี้รับประกัน ! ! !

ถ้าคุณกำลังสงสัยว่า ระบบ POS สำคัญยังไงกับการทำธุรกิจ น้องมัลตี้มีบทความดี ๆ ให้อ่านเพิ่มเติม คลิกที่ลิงค์ได้เลย  https://bit.ly/3gpxfu0

 

สิ่งที่ 7 เข้าถึงลูกค้าให้เป็น

   

และแล้ว ก็มาถึงสิ่งสุดท้ายที่น้องมัลตี้จะแนะนำให้คุณได้ นั่นก็คือ การเข้าถึงลูกค้าของคุณให้เป็น คุณต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้า ว่าลูกค้าต้องการสินค้าคอนเซ็ปต์ไหน พฤติกรรมของลูกค้าเป็นอย่างไร เช่น ชอบใช้โซเชียลไหน ใช้แอพอะไรมากที่สุด ชอบเดินห้างหรือเปล่า หรือ ชอบแนวคาเฟ่ แต่งตัวสไตล์ไหน ก่อนจะเข้าร้านเรามีเหตุผลอะไร ในการตัดสินใจ.

หลังจากที่ทำความรู้จักกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแล้ว คุณต้องอย่าลืมที่จะสร้างการรับรู้ให้กับลูกค้า ซึ่งขั้นตอนนี้ มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะหากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไม่รับรู้การดำรงอยู่ของร้านคุณ  ธุรกิจคงพังไม่เป็นท่าอย่างแน่นอน เรื่องนี้อาจใช้การทำตลาดออนไลน์ ซึ่งประหยัดงบประมาณ แต่หากอยากสร้างการรับรู้ในวงกว้าง คุณอาจต้องลงทุนทำคอนเทนต์ต่าง ๆ เพื่อช่วยโปรโมท ในหลากหลายช่องทาง.

นอกจากนี้แล้ว คุณยังเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย ๆ อีกหลายช่องทาง เช่น การตกแต่งร้านไปในทิศทางที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายชอบ  ป้ายประกาศ ทำโปรโมชั่นเพื่อเชิญชวนลูกค้า และ ลงคอนเทนต์ทางโซเชียล ให้ลูกค้าได้ติดตามสินค้า และ บริการจากทางร้าน เพียงเท่านี้ ร้านของคุณก็จะดูน่าเชื่อถือ เป็นมืออาชีพ และ เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นแล้ว.

 

เป็นยังไงกันบ้าง หลังจากได้คำแนะนำจากน้องมัลตี้แล้ว เห็นได้ชัดเลยใช่มั้ยล่าา ว่าแม้ร้านค้าปลีกยุคใหม่จะมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง และ ทำให้ร้านค้าออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้นกว่าเดิม แต่ว่าร้านค้าปลีกออฟไลน์ ก็ยังมีโอกาสเติบโตไม่แพ้ร้านค้าออนไลน์เลยนะ ดังนั้น การจะเปิดร้านมัลติแบรนด์ให้ดี   มีกำไรในยุคนี้ ผู้ประกอบการจะต้องทำการบ้านให้หนัก และ ลงมืออย่างจริงจัง รวมถึง รู้จักนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในร้าน และ ใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ที่สำคัญต้องให้บริการที่ดีที่สุดกับลูกค้า และ รู้วิธีเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายด้วย แค่นี้ คุณก็จะเปิดร้านมัลติแบรนด์ให้สำเร็จได้ง่าย ๆ แล้ว น้องมัลตี้เอาใจช่วยนะ.

 

หากอยากติดตามการแนะนำของน้องมัลตี้ในเรื่องอื่น ๆ ล่ะก็ เข้าไปดูได้เลย ที่นี่  และ มารอติดตามกันว่า น้องมัลตี้จะเอาอะไรมาฝากในครั้งหน้า ที่นี่

Learn More

เรา MultiOne จะเป็นมากกว่าระบบจัดการธุรกิจ Multi-brand เพราะเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนว่า “เราจะเป็นผู้ช่วยที่ทำให้ธุรกิจเติบโต ผ่านการฝากขาย และเติบโตด้วยตัวเองได้อย่างมั่นคง”

Learn More

การทำธุรกิจไม่มีสูตรตายตัว เคล็ดลับที่ใช้ได้ในอดีตอาจใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน ถึงแม้โลกของเราจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน สิ่งที่ยืดหยัดที่ให้ธุรกิจสำเร็จอยู่เช่นเดิมคือ คุณค่า (สนับสนุนโดย ReCute – Multibrand & New Retail Platform)

Learn More

ธุรกิจค้าปลีกซื้อมาขายไป ต้องมีเงินลงทุนเพื่อ Stock สินค้า หมุนเวียนอยู่อย่างสม่ำเสมอ ถ้าดีหน่อยสำหรับยุคนี้ก็จะเป็น Dropship ที่เป็นตัวแทนขายโดยไม่ต้อง Stock สินค้า แต่ความยากก็คือ ขาย Product แบบเดียวกันหมด การหารายได้ก็จะยากหน่อย จะดีกว่าไหมหากมีทางเลือกสำหรับธุรกิจร้านค้าปลีก ที่ใช้ทุนบริหารจัดการไม่มากเท่าการเปิดร้านค้าแบบปกติ

Learn More

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านนโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save