หลายคนคงสงสัยหรือยังไม่รู้จักว่า ร้านค้ามัลติแบรนด์ สร้างข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งยังไง การเปิดหน้าร้านปกติ มักมาพร้อมค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะค่าเช่าสถานที่ ค่าจ้างพนักงานในร้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบำรุงต่าง ๆ รวมไปจนถึงค่าใช้จ่ายด้านการทำการตลาด ซึ่งหากสั่งสินค้าหลายประเภทมาสต๊อกไว้ที่ร้านมากเกินไปและเกิดสินค้าคงค้างหลายประเภท จะทำให้เกิดค่าเสื่อมสภาพของสินค้ามากขึ้นและเกิดปัญหาในการจัดการบริหารสต๊อกสินค้าที่เจ้าของร้านค้าเป็นคนรับภาระความเสี่ยงที่เกิดขึ้น และยังมีปัจจัยด้านการอัพเดทเทรนด์สินค้าหลายประเภทที่ต้องติดตาม 

การเปิดหน้าร้านขายสินค้าเพียงอย่างเดียวนั้น อาจจึงไม่เพียงพอ เมื่อรายรับอาจไม่สอดคล้องกับรายจ่าย ผู้ประกอบการร้านค้าหลายรายจึงเลือกรับฝากขายสินค้า การรับฝากขายสินค้า นอกจากจะช่วยให้เกิดรายได้จากทั้งค่าแรกเข้า และค่าเช่ารายเดือน ร้านค้ายังจะได้เปอร์เซ็นต์จากยอดขายสินค้าจากแบรนด์ร่วมด้วย ถือเป็นการปรับโมเดลธุรกิจให้เป็นร้านค้ามัลติแบรนด์ เพื่อปรับตัวในการรับมือกับเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน

การเปิดหน้าร้านแบบ “ยุคใหม่” ช่วยเปลี่ยนจากพื้นที่ว่างหน้าร้าน ให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับสร้างรายได้ และไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อสินค้ามาสต๊อกให้มากมาย ร้านค้าก็มีสินค้าที่หลากหลายได้ ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุนและยังเพิ่มรายได้ให้กับร้านค้าซึ่งเป็นทั้งการบริหารความเสี่ยงของร้านค้า และยังสร้างข้อได้เปรียบให้ร้านที่รับฝากขายสินค้าหลายประเภทที่รับฝากขายสินค้าจากหลายแบรนด์ที่มีสไตล์คล้ายกันทำให้ร้านค้าสามารถดึงดูดลูกค้าที่มีโอกาสเดินเข้ามาเลือกซื้อสินค้าได้หลายประเภทมากขึ้น

 

วันนี้ MultiOne จะมาไขข้อสงสัย 5 ข้อ ว่าการเปิดร้านมัลติแบรนด์ ดียังไง แล้วทำไมร้านค้าส่วนใหญ่จึงเลือกเปลี่ยนมาเป็นร้านค้ามัลติแบรนด์หรือร้านรับฝากขายมากขึ้น

 

1.สร้างรายได้เสริมให้พื้นที่ว่างภายในร้านด้วยการเป็น ร้านค้ามัลติแบรนด์

 

สร้างรายได้เสริมให้พื้นที่ว่างภายในร้านด้วยการเป็น ร้านค้ามัลติแบรนด์

จะดีกว่ามั้ยถ้าเปลี่ยนพื้นที่โล่ง ๆ ภายในร้านให้กลายเป็นพื้นที่สร้างมูลค่าให้แก่ร้านของคุณ สร้างรายได้เสริมจากพื้นที่ว่างภายในร้านให้เกิดประโยชน์สูงสุด การรับฝากขายสินค้า จะช่วยให้หน้าร้านมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการที่หน้าร้านรับฝากขายสินค้าจากแบรนด์ โดยหน้าร้านจะได้ทั้งจากค่าเช่าพื้นที่ในแต่ละจุดในราคาที่ต่างกัน พร้อมทั้งค่า GP จากการขายสินค้าที่รับมาฝากขายมาวางในพื้นที่ร้านค้าบางจุด

ซึ่งไม่กำจัดว่าจะเป็นร้านค้าประเภทไหน เพราะในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือสถานท่องเที่ยวกลางคืนก็มักจะรับสินค้ามาวางขายในที่ว่างของร้านค้าตัวเองเป็นรายได้เสริมเพียงแค่มีชั้นวางหรือราวแขวนสินค้า ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มแรงจูงใจในการซื้อสินค้าที่หลากหลายแล้วยังเป็นการเพิ่มจุดเด่นให้กับร้านค้าจากการรับสินค้าที่สไตล์เข้ากับร้านค้าและตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเดียวกันหรือใกล้เคียงอีกด้วย

 

2. ร้านค้ามัลติแบรนด์ ไม่ต้องจ่ายค่าสต๊อกสินค้าเองทั้งหมด

ร้านค้ามัลติแบรนด์ ไม่ต้องจ่ายค่าสต๊อกสินค้าเองทั้งหมด

การฝากขายสินค้า โดยที่ร้านค้าไม่ต้องจ่ายค่าสต๊อกสินค้า คือการที่แบรนด์ส่งสินค้าให้ร้านช่วยทำการขายให้ผ่านช่องทางหน้าร้านและร้านไม่ต้องจ่ายค่าสต๊อกสินค้า หมดปัญหาสต๊อกจนทุนจมจากการลงทุนผลิตสินค้าหลายชนิดจำนวนมากเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าพร้อมทั้งเติมสต๊อกสินค้าขายดีไปควบคู่กัน ร้านมีหน้าที่เพียงช่วยขายสินค้าให้กับแบรนด์ หากต้องการสินค้าเพิ่ม หน้าร้านก็เพียงติดต่อให้แบรนด์ส่งสินค้ามายังหน้าร้าน หรือหากต้องการเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทสินค้าที่รับมาลงขายก็เพียงทักไปเสนอแบรนด์ที่ร้านค้าสนใจและสไตล์เข้ากับร้านค้ามาลงฝากขายในร้านค้า ทำให้ไม่ต้องเสี่ยงลงทุนกับสินค้าที่ทางร้านยังไม่แน่ใจว่าจะขายดีรึป่าวหรือเปลืองพื้นที่สต๊อกสินค้าจำนวนหนึ่งไว้หลายชนิด

 

3. ร้านค้ามัลติแบรนด์ มีสินค้าที่จากหลากแบรนด์ที่คอยอัพเดทให้ ไม่เอ้าท์ ไม่ตกเทรนด์

ร้านค้ามัลติแบรนด์ มีสินค้าที่จากหลากแบรนด์ที่คอยอัพเดทให้ ไม่เอ้าท์ ไม่ตกเทรนด์

แบรนด์ออนไลน์ส่วนใหญ่ มักมีการออกสินค้าใหม่ๆ ตามเทรนด์เสมอ ดังนั้น เมื่อมีการฝากขายสินค้า แบรนด์ออนไลน์ผู้ทำหน้าที่ฝากขายก็จะคอยอัพเดทสินค้าใหม่ๆ เพื่อส่งไปวางขายที่หน้าร้าน สินค้าภายในร้านมัลติแบรนด์ จึงมักจะเป็นสินค้าที่ต้องตามเทรนด์ และอัพเดทอยู่เสมอนั่นเอง เป็นการประหยัดเวลาและต้นทุนกับทางร้านค้าในการที่ร้านค้าต้องคอยอัพเดทดีไซน์และเทรนด์สินค้าหลากประเภทที่ตรงและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคสินค้าที่เปลี่ยนไป เสี่ยงรับภาระสินค้าที่ขายไม่ออกและระยะเวลาในการเปลี่ยนและอัพเดทสินค้ารายชิ้นที่ต้องมาคอยประเมินว่าชิ้นไหนขายดีควรนำมาขายเพิ่มหรือชิ้นไหนขายไม่ดีต้องเปลี่ยนสไตล์ โดยการรับฝากขายจากแบรนด์นั้นสามารถส่งสินค้าขายไม่ดีคืนทางแบรนด์โดยไม่ต้องลงทุนสต๊อกของเอง และขอสินค้าสไตล์อื่นหรือประเภทอื่นมาลงฝากขายได้เรื่อย ลงทั้งความเสี่ยงด้านการลงทุน และระยะเวลาในการจัดการสินค้าคงคลังให้อัพเดทอยู่เสมอ

 

4. เพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ ให้ร้านด้วยการรับฝากขายจากแบรนด์ดัง

เพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ ให้ร้านด้วยการรับฝากขายจากแบรนด์ดัง

แบรนด์ออนไลน์หลายๆ แบรนด์มักจะมีฐานลูกค้าเดิมที่ติดตามผ่านช่องทางออนไลน์อยู่ก่อนแล้ว เมื่อมีการฝากขายกับหน้าร้าน หน้าร้านก็จะพลอยได้ฐานลูกค้าเดิมจากแบรนด์ออนไลน์อีกด้วย ประหยัดค่ายิง Ads. เพิ่ม หน้าร้านก็จะได้ฐานลูกค้าใหม่ๆ จากแบรนด์ออนไลน์มา และเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าจากในร้านและแบรนด์อื่นเพิ่มเติม เพราะแม้แบรนด์ส่วนมากที่มีชื่อเสียงจนขายในช่องทางออนไลน์ได้จำนวนมาก ก็มักจะได้ยอดขายจากหน้าร้านค้ามากกว่าช่องทางออนไลน์อยู่ดี เพราะพฤติกรรมของลูกค้าส่วนมากที่ต้องการจะจับสินค้าจริง หรือลองก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ

 

5. ให้แบรนด์ดังที่ลงฝากขายในร้านช่วยโปรโมท

ให้แบรนด์ดังที่ลงฝากขายในร้านช่วยโปรโมท

เมื่อแบรนด์ฝากขายกับหน้าร้าน แบรนด์จะช่วยโปรโมทร้านให้กลุ่มลูกค้าได้รู้จักผ่านช่องทางออนไลน์ของแบรนด์ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งร้าน และแบรนด์ เมื่อลูกค้าสนใจซื้อสินค้า ลูกค้าก็จะตามไปซื้อสินค้าจากหน้าร้านที่รับฝากขายนั่นเอง ในส่วนของแบรนด์ก็จะเป็นการกระจายสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น ร้านค้าเองก็จะได้ทั้งชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือจากลูกค้ามากขึ้น หากร้านค้ารับสินค้าจากแบรนด์ดังมาลงขายได้ ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบแบรนด์นั้นๆได้มากขึ้น และในการโปรโมทของตัวแบรนด์ออนไลน์ว่าได้นำสินค้าไปลงฝากขายไว้ร้านไหนบ้างก็ทำให้ร้านค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้น ลูกค้าประจำของแบรนด์นั้นๆก็จะตามไปเลือก หรือลองจับสินค้าตามร้านค้า เพิ่มโอกาสขายสินค้าจากแบรนด์อื่นเพิ่มเติม

ดังนั้นแล้ว ร้านค้าในยุคปัจจุบันจึงเปลี่ยนมาเป็นร้านมัลติแบรนด์มากยิ่งขึ้น ทั้งเพิ่มความหลากหลายให้สินค้าภายในร้านและไม่ต้องเสียพื้นที่ในส่วนของหน้าร้านอย่างเสียเปล่า การฝากขายจึงเป็นเทรนด์ร้านค้ายุคใหม่ที่ถือได้ว่าปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยนี้มากที่สุด 

เพราะในปัจจุบัน ร้านค้ามัลติแบรนด์ที่มีสินค้าหลากหลายประเภท มักเป็นจุดหมายปลายทางของขาช็อปในยุคนี้ ทั้งในแง่ความสะดวกและความหลากหลายของสินค้า จึงเป็นเหตุผลหลักที่ลูกค้าเลือกเข้าร้านมัลติแบรนด์มากยิ่งขึ้นนั่นเอง และการจะเปิดร้านมัลติแบรนด์ได้ ก็ควรจะมีแพลตฟอร์มสำหรับจัดการระบบภายในร้านใช่มั้ยล่ะ เพราะฉะนั้นก็ขอแนะนำเลย แพลตฟอร์มสำหรับร้านค้ามัลติแบรนด์ และร้านค้ารับฝากขายโดยเฉพาะ

 

MultiOne Platform เพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจคุณ

แพลตฟอร์มจัดการร้านมัลติแบรนด์ ร้านค้าปลีก และร้านค้ารับฝากขายสินค้าจากหลายแบรนด์ ที่จะมาช่วยให้การจัดการร้านค้าสะดวกสบายขึ้น ลดขั้นตอนที่ยุ่งยากหลายขั้นตอน ลดความผิดพลาดการจัดการสินค้า เพิ่มรายได้ ความน่าเชื่อถือ และประเภทของสินค้าภายในร้าน จากการรับฝากขายสินค้าจากแบรนด์ดังในระบบ

  • แหล่งพบปะของร้านค้าออนไลน์ และออฟไลน์ พาร์ทเนอร์ที่ช่วยให้คุณขายได้มากขึ้น ผ่านการฝากขายยุคใหม่
  • การันตีด้วยพาร์ทเนอร์ร้านค้าดัง ขายดีที่ใช้ระบบมากกว่า 30 ร้านค้า และแบรนด์ดังที่ฝากขายผ่านระบบมากกว่า 2,000 แบรนด์

ระบบฟังก์ชันหลักสำหรับร้านค้าพาร์ทเนอร์ของ MultiOne ที่ช่วยให้การบริหารจัดการร้านค้าเป็นเรื่องง่าย

  • ระบบ POS แคชเชียร์และจัดการร้านค้าใช้งานง่าย
  • จัดการสต็อกสินค้า แยกรายแบรนด์ เช็คสะดวก
  • ร้านจัดการส่วนลด โปรโมชั่นร่วมกับแบรนด์ได้หลากหลาย
  • ออกบาร์โค้ด เชื่อมต่ออุปกรณ์เครื่องยิงบาร์โค้ด
  • มีระบบการใช้งานสำหรับพนักงาน
  • ออกเอกสารทางบัญชี
  • ระบบ Import Export ข้อมูล
  • จัดการข้อมูลลูกค้า และสินค้า
  • ระบบวิเคราะห์ข้อมูลยอดขายรายวัน รายเดือน แยกรายแบรนด์
  • วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและช่องทางจำหน่าย

และเรายังมีฟังก์ชันอีกมากมายสำหรับแบรนด์สินค้าที่มาลงฝากขาย ด้วยระบบที่ออกแบบมาให้ร้านค้าเจอกับแบรนด์ง่ายขึ้น ลดขั้นตอนการส่ง เช็ค และจัดการสินค้าฝากขาย ร้านค้าสามารถเลือกพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสมกับหน้าร้านของคุณได้ง่ายๆ บนแพลตฟอร์ม

สนใจเป็นร้านค้าพาร์ทเนอร์ สนใจลงฝากขายสินค้า หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยที่ MultiOne INBOX

Learn More

อยากเป็นพาร์ทเนอร์ กับ MultiOne ต้องทำอย่างไร ??? วันนี้น้องมัลตี้จะพาไปดูว่าแค่เพียงขั้นตอนน้อยนิด คุณก็สามารถสมัครเข้ามาเป็นร้านค้าพาร์ทเนอร์กับเรา (MultiOne) ได้!!!

ปัจจุบัน ธุรกิจฝากขายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่กำลังมาแรง ทั้งในแง่ของผู้ฝากขาย และผู้รับฝากขายเอง ได้มีการตกลงทำการขายร่วมกัน ช่วยให้การทำธุรกิจของคุณง่ายขึ้น โดยที่หน้าร้าน (ผู้รับฝากขาย) ไม่จำเป็นต้องผลิตสินค้าเอง และแบรนด์สินค้า (ผู้ฝากขาย) ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าร้านเองให้ยุ่งยาก   

ถ้าเพื่อน ๆคนไหน กำลังทำหน้าร้านที่มองหาแบรนด์สินค้าสำหรับการวางขาย หรือเป็นแบรนด์ที่อยากขายสินค้าหน้าร้าน แต่ก็ไม่อยากจ่ายค่าเช่าหน้าร้านที่แพงแสนแพง จะดีกว่ามั้ยถ้าเรา (MultiOne) ช่วยให้การฝากขายของคุณง่ายขึ้น ด้วยแพลตฟอร์มของ MultiOne ที่จะช่วยให้การฝากขายเป็นเรื่องง่าย ๆ ทั้งในส่วนของผู้ฝากขาย และผู้รับฝากขาย Multione ช่วยให้หน้าร้านและแบรนด์ค้นพบกันง่ายขึ้น ช่วยประหยัดเวลาในการหาช่องทางการขาย และช่วยหาสินค้าพาร์ทเนอร์ให้แก่ร้านของคุณ

ฝากขายผ่านระบบ Multione ” ได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้างไปดูกัน “

 

 

สิทธิประโยชน์ของร้านค้าพาร์ทเนอร์ที่ได้รับ

1. มีรายได้เพิ่มจากการนำแบรนด์มาฝากขายหน้าร้าน จากปกติร้านรับรายได้ที่เดียว

2. ลดความเสี่ยงในการลงทุน

3. ไม่ต้องเสียเงินค่าสต็อคสินค้า ทำให้ร้านค้าประหยัดต้นทุนค่าสต็อคสินค้า และที่สำคัญ ยังได้สินค้าใหม่ ๆ มาวางขายฟรี MultiOne มีสินค้าคุณภาพจำนวนมากกว่า 10,000 รายการ

ช่วยเติมเต็มความหลากหลาย ให้กับร้านค้าของคุณ พร้อมบอกลาความเสี่ยง ด้วยระบบขายก่อน – จ่ายทีหลัง

4. มีสินค้าวางจำหน่ายหลากหลายประเภท ทำให้มีกลุ่มลูกค้าเพิ่มมากขึ้น

5. ระบบช่วยปิดการขาย มีร้านค้าบน Line OA ฟรี ! ยกสินค้าจากทั้งร้านขึ้นวางขายออนไลน์ได้ง่าย ๆ ช่วยเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ และรักษาฐานลูกค้าเก่าของร้านคุณ

6. ระบบจัดการหน้าร้านแบบมืออาชีพ  เรา (MultiOne) มีให้ทั้งระบบ POS, ระบบแคชเชียร์, ระบบรายงานและวิเคราะห์ยอดขาย, เชื่อมสต็อกหน้าร้าน & สต็อกขายออนไลน์ จัดการข้อมูล สินค้า และจัดโปรโมชั่นได้หลากหลาย ที่สำคัญใช้งานง่าย มีทีมงานคอยช่วยเหลือดูแลตลอดเวลา

7. แบรนด์และ Multione ช่วยโปรโมทร้าน และหาลูกค้าใหม่ เรา (MultiOne) ช่วยผลักดันร้านของคุณ ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ผ่านเว็บไซต์, แพลตฟอร์ม และสื่อโซเชียลที่เกี่ยวข้องทุกช่องทาง เช่น Facebook, IG โดย ยิ่งวางขายสินค้าหลากหลายแบรนด์ ร้านคุณก็ยิ่งได้รับการโปรโมทมากขึ้นไปด้วย

8. ถ้าแบรนด์ไหนมีชื่อเสียง ยิ่งเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่มากขึ้น ทำให้รายได้ของร้านพาร์ทเนอร์และแบรนด์เพิ่มขึ้น

 

สิทธิประโยชน์ของแบรนด์พาร์ทเนอร์ที่ได้รับ

1. มีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งออนไลน์และออฟไลน์

2. มีกลุ่มลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าขาจรที่เข้ามาซื้อสินค้าหน้าร้าน ทำให้การเกิดบอกต่อกัน

3. ช่วยให้แบรนด์ขนาดเล็กมีหน้าร้าน

4. ด้านการตลาด ร้านโปรโมทให้แบรนด์ แบรนด์โปรโมทให้ร้าน

5. แบรนด์สามารถฝากขายกับร้านค้าพาร์ทเนอร์ในระบบได้หลายร้าน โดยไม่จำกัดจำนวนการฝากขาย

หากสนใจ อยากเป็นพาร์ทเนอร์ กับ MultiOne ล่ะก็ น้องมัลตี้จะบอกวิธีสมัครเป็นพาร์ทเนอร์กับเรา (MultiOne) ให้เอง!!
สมัครเป็นร้านค้าพาร์ทเนอร์ง่าย ๆ โดย

1.สมัครเป็นพาร์ทเนอร์ร้านค้ากับเรา (MultiOne)ได้ง่าย ๆ ผ่าน Inbox มาที่เพจ Multione ของเรา หรือ คลิกที่นี่ เพื่อ Inbox ได้เลย

2.ส่งรายละเอียดข้อมูลร้านค้าให้แก่แอดมิน หลังจากนั้น ทีมงานของทางเรา (MultiOne) จะสร้าง Account และเปิดใช้งานระบบ ให้ร้านค้าพาร์ทเนอร์

3.เข้าสู่ระบบ ลงชื่อเข้าใช้งาน ได้เลยที่ multioneapp.com

วิธีสมัครเป็นแบรนด์พาร์ทเนอร์ง่าย ๆ โดย

1.สมัครเป็นแบรนด์พาร์ทเนอร์กับเรา (MultiOne) ผ่านเว็บไซต์ https://app.multioneapp.com/

2.กรอกข้อมูลรายละเอียดของแบรนด์

3.สร้าง และอัพโหลดรูปภาพสินค้า กรอกข้อมูลรายละเอียดของสินค้า

 

สนใจร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ MultiOne คลิกที่นี่ (MultiOne) มีแบรนด์สินค้า และ ร้านค้าพาร์ทเนอร์ ในระบบมากมายให้คุณเลือก พร้อมด้วยฟังก์ชั่นระบบหลังบ้านที่ครบครัน ช่วยให้การจัดโปรโมชั่นระหว่างร้านกับแบรนด์ เป็นเรื่องง่ายขึ้น.

หากอยากติดตาม การแนะนำของน้องมัลตี้ ในเรื่องอื่น ๆ ล่ะก็ เข้าไปดูได้เลย ที่นี่ และ มารอติดตามกันว่า น้องมัลตี้จะเอาอะไรมาฝาก ในครั้งหน้าได้ ที่นี่

Learn More

การกระตุ้นยอดขาย หรือการจัดโปรโมชั่นสินค้า เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เกิดการกระตุ้นให้ลูกค้า เข้ามาซื้อสินค้าของเรามากขึ้น และยังสามารถดึงดูดความสนใจให้กับลูกค้าได้อีกด้วย แต่ก่อนที่เราจะจัดโปรโมชั่นในแต่ละครั้ง เราต้องตั้งเป้าหมายไว้ก่อนว่า การจัดโปรโมชั่นสินค้า ครั้งนี้ ทำเพื่ออะไร และคาดการณ์ถึงผลลัพธ์ที่เราจะได้ เช่น การจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย การจัดแคมเปญเพื่อระบายสต๊อกสำหรับสินค้าที่คงค้างมานานทำให้กลับมาขายดี หรือขายได้อีกครั้ง  การจัดโปรโมชั่นเพื่อขยายฐานลูกค้า หรือ อาจจะเป็นการจัดแคมเปญเปิดตัวสินค้าใหม่ เพื่อทำให้เกิดการรับรู้สำหรับลูกค้า และเกิดความน่าสนใจสำหรับตัวสินค้านั้น ๆ เพื่อที่เราจะได้คิดโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และยังสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากที่สุดนั่นเอง.

สำหรับการจัดโปรโมชั่นสินค้านั้น อาจจะต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าทั้งตัว Value ของตัวสินค้า และ Volume เพื่อเกิดการซื้อขายสินค้า เพราะถ้ามากเกินไปก็อาจจะไม่ส่งผลดีต่อตัวสินค้า เช่น ลดราคาเยอะเกินไป เพราะในบางกรณี ลูกค้าอาจจะสงสัยในคุณภาพของสินค้าเหล่านั้น ว่าได้มาตรฐานหรือไม่ หรือกำลังจะหมดอายุการใช้งานในเร็ววัน และ อาจทำให้คุณค่าของสินค้านั้น ๆ ลดลงไปเองโดยปริยายอีกด้วย

วันนี้ MultiOne ขอนำเสนอและแนะนำไอเดีย การจัดโปรโมชั่นสินค้า จัดแบบไหนถึงจะปัง จัดแบบไหนถึงจะดีแบบไม่ต้องมูเตลู !
เพราะแทรนด์ที่กำลังเข้ามาตอนนี้ ไม่ว่าจะแม่ค้า พ่อค้า หรือหน้าร้านต่าง ๆ ก็ต้องพึ่งสายมูกันทั้งนั้น และการเข้าถึงสายมูนั้นก็ง่ายซะเหลือเกิน วันนี้ MultiOne เราจึงมาแนะนำไอเดีย จัดโปรให้ปัง แบบไม่ต้องพึ่งมูเตลู

1. การจัดโปรโมชั่น ซื้อ 1 ฟรี 1

เรียกได้ว่าโปรโมชั่น 1 ฟรี 1 หรือ Buy 1 Get 1 Free ทำให้ใคร ๆ ก็ใจสั่น เมื่อเห็นคำว่า ฟรี ! ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การจัดโปรโมชั่น 1 ฟรี 1 เป็นแคมเปญที่ง่าย และเห็นผลลัพธ์ได้ดีมาก ๆ ในการระบายสินค้า เพราะโปรโมชั่น 1 ฟรี 1 เป็นโปรโมชั่นที่เล่นกับความรู้สึกของลูกค้า และยังช่วยดึงดูดการซื้อขายได้เป็นอย่างมากอีกด้วย. 

การใช้โปรโมชั่น 1 ฟรี 1 สามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกสนใจสินค้าชิ้นนั้นมากขึ้น แม้ว่าบางครั้ง มูลค่าของสินค้าอาจจะไม่ต่างกับการลดราคาสินค้า 50% อย่างไรก็ตามการจัดโปรโมชั่น 1 ฟรี 1 ถึงแม้จะดึงดูดลูกค้าได้ดีแค่ไหน ทางร้านค้าหรือผู้ประกอบการ อาจจะยังต้องคำนึงถึงต้นทุนและความคุ้มค่าของสินค้า และตัวผลลัพธ์ที่เราเรียกว่า กำไร ของผู้ประกอบการอีกด้วย.

2. การจัดโปรโมชั่น ลดราคาสินค้าเป็นเปอร์เซ็นต์

ข้อแรกเลย ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ นั่นคือ การลดแบบเปอร์เซ็นต์ วิธีนี้ ถือเป็นการลดราคาแบบพื้นฐาน ซึ่งสามารถจัดโปรโมชั่นนี้ได้ตลอดทุกช่วงเวลา และเทศกาลสำคัญ โดยคุณสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ 5%  , 10%  , 15% ไปจนถึง 90% กันเลยทีเดียว!

ข้อดีของการลดเป็น %  คือการทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่า มากกว่าการลดเป็นจำนวนเงิน เช่น เสื้อราคา 200 บาท เมื่อติดป้ายลดราคา 20 บาท ลูกค้าอาจจะรู้สึกว่าสินค้านั้น ๆ ลดน้อยเกินไป กลับกัน ถ้าเปลี่ยนเป็น ลด 10% – 20%  จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ามากกว่า ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วราคาที่ลดลงนั้น เท่ากันนั่นเอง.

3. Flash Sale หรือ Flash Deal

การจัดโปรโมชั่นสินค้า โดยกำหนดระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการตัดสินใจซื้อสินค้าอย่างรวดเร็ว การใช้โปรโมชั่นในช่วงเวลาพิเศษ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า ต้องรีบคว้าสินค้าชิ้นนั้นเอาไว้ ตัวอย่าง เช่น โปรโมชั่น 1.1 , 6.6 , 9.9 , Mid-year Sale เป็นต้น. หรือการจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าเป็น Prime Time เช่น 19.00 – 21.00 นี้เท่านั้นลดไปเลย 50% การจัดโปรโมชั่นแบบนี้ก็สามารถกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความสนใจ และถ้ามีการจัดแบบนี้ประจำ (Consitency) ยังถือเป็นการทำ Branding ไปในตัวเพื่อสร้างความจดจำให้กับลูกค้าได้อีกด้วย

4. การจัดโปรพิเศษ เฉพาะสมาชิก

วิธีนี้ ถือเป็นการยกระดับสำหรับลูกค้าที่เป็นสมาชิกสำหรับร้านค้าเองอยู่แล้ว การจัดโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับสมาชิก ถือเป็นการทำการตลาดรูปแบบใหม่ เพราะนอกจากกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าซ้ำแล้ว เรายังสามารถกระตุ้นให้สมาชิกนั้น ๆ เป็นลูกค้าประจำได้อีกด้วย  ยังช่วยให้สมาชิกเกิดความรู้สึกที่พิเศษเกี่ยวกับร้านเราอีกด้วย  นอกจากนั้นยังสามารถดึงดูดให้ลูกค้าใหม่มาเป็นสมาชิกกับเรามากยิ่งขึ้น.

5. แจก Voucher หรือคูปองส่วนลด

การแจกคูปองส่วนลดหรือ voucher ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่ช่วยส่งเสริมการซื้อ – ขาย และกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้ามากขึ้น ทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์ใหม่ และผลิตภัณฑ์แนะนำ ทั้งนี้ถือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อลูกค้าที่ใช้บริการเรา และเพิ่มแรงจูงใจให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ จนกลายเป็นลูกค้าประจำ ตัวอย่างเช่น แจก voucher เพื่อเป็นส่วนลดให้กับผลิตภัณฑ์ใหม่, สนับสนุนให้ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์เพิ่ม โดยการแจก voucher เพื่อเป็นส่วนลดในการซื้อครั้งต่อไป รวมถึงการแจก voucher ทดลองสินค้าและบริการฟรี เพื่อให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าและบริการในอนาคต หลังจากได้ทดลองใช้สินค้าและบริการของเรา เป็นต้น

6. รีวิวสินค้าพร้อมรับสิทธิพิเศษ

การรีวิวสินค้าพร้อมรับสิทธิพิเศษ เป็นอีกกลยุทธ์ทางการตลาดในการจัดโปรโมชั่น ที่นอกจากจะกระตุ้นยอดขายให้กับทางร้านแล้ว ยังเป็นการโปรโมทสินค้าและบริการไปในตัว เป็นการสร้างการรับรู้ให้บุคคลภายนอกได้รู้จักเรา และเข้ามาซื้อสินค้าและบริการ.

7. สะสมแต้มแลกรางวัล

การจัดโปรโมชั่นโดยสะสมแต้ม เพื่อนำแต้มไปรับสิทธิพิเศษ หรือ ส่วนลดต่าง ๆ จะเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าและบริการของเรามากขึ้น การสะสมแต้มนั้น มีทั้งในรูปแบบของการซื้อสินค้าตามราคาที่กำหนด หรือจำนวนที่กำหนด เพื่อรับแต้มสะสม รวมไปถึงบัตรสะสมแต้มหรือการสะสมแสตมป์ เพื่อนำแลกรางวัล (reward) เช่น ซื้อครบ 50 บาท รับ 1 แต้ม, ซื้อกาแฟ 1 แก้ว รับแสตมป์สะสม 1 ดวง สะสมครบ 10 ดวงรับฟรี 1 แก้ว เป็นต้น.

จะเห็นได้ว่า การจัดโปรโมชั่นโดยการสะสมแต้มนั้น ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้า เกิดการซื้อสินค้าและบริการซ้ำ จนเกิดเป็นแบรนด์รอยัลตี้นั่นเอง.

ทั้งหมดนี้ เป็นแนวทางการจัดโปรโมชั่นสินค้า ที่จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้า และ บริการของเรามากขึ้น ในการจัดโปรโมชั่นแต่ละครั้ง อย่าลืมตั้งเป้าหมาย และ จุดประสงค์ให้ชัดเจนล่ะ!!

สนใจร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ MultiOne คลิกที่นี่ เรามีแบรนด์สินค้า และ ร้านค้าพาร์ทเนอร์ ในระบบมากมายให้คุณเลือก พร้อมด้วยฟังก์ชั่นระบบหลังบ้านที่ครบครัน ช่วยให้การจัดโปรโมชั่นระหว่างร้านกับแบรนด์ เป็นเรื่องง่ายขึ้น.

Learn More

ระบบ”POS” สำคัญยังไง ยังคงเป็นคำถามคาใจ สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่หลาย ๆ คนว่าจริง ๆ แล้ว ระบบ”POS” ดียังไง และ มีความสำคัญต่อร้านค้ามากแค่ไหน

วันนี้ MultiOne จึงขออาสามาแชร์ความรู้เกี่ยวกับระบบ POS ว่าระบบ ” POS ” ดียังไง และมีความจำเป็นแค่ไหนสำหรับการเปิดหน้าร้าน มาไขข้อสงสัยไปพร้อม ๆ กัน.

ระบบ POS หรือ ระบบ Point of Sale คือ ตัวช่วยสำหรับการจัดการหน้าร้าน ให้ทางร้านค้ามีการจัดการที่ง่าย สะดวก และมีข้อมูลแบบเรียลไทม์

ระบบ “POS” ร้านค้าปลีกเปรียบเสมือนเป็นผู้จัดการของร้าน ในรูปแบบระบบ (System) ที่จะช่วยให้คุณจัดการสินค้าในร้านได้ง่าย ๆ เพียงแค่สแกนบาร์โค้ด คุณก็สามารถคิดเงินค่าสินค้า, เก็บข้อมูลรายละเอียดการขาย, เช็คสต๊อกสินค้า และ ตัดสต๊อกสินค้า (Inventory Stock), เช็คยอดขาย และรายงานข้อมูลการขายสินค้าได้

 

วันนี้ MultiOne จะมาแชร์ “ ประโยชน์ของระบบ POS มีอะไรบ้าง ” ไปดูกัน

 

1.ระบบ”POS” เช็คข้อมูลได้แบบ Realtime

ระบบ POS

 ถือได้ว่า เป็นข้อดีหลัก ๆ ของระบบ “POS” เลยก็ว่าได้ เพราะผู้ประกอบการหรือเจ้าของร้าน จะได้ใช้ประโยชน์จากส่วนนี้แบบเต็มที่ เมื่อไหร่ก็ตาม ที่คุณต้องการจะเช็คยอดขาย เช็คสต๊อกสินค้า ก็สามารถทำได้ในทันที รวมถึงระบบ POS สามารถอัพเดทข้อมูลได้แบบ Realtime อีกด้วย เรียกได้ว่า ไม่ต้องรอจบงานรายวัน แต่ผู้ประกอบการสามารถเรียกดูข้อมูลหรือ Data เกี่ยวกับระบบ POS ได้ทันที  เห็นมั้ยหล่ะ ว่าระบบ POS เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมี เรียกได้ว่า สะดวก และง่ายต่อการจัดการทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านจริง ๆ

2.ระบบ”POS” สามารถตรวจสอบจำนวนสินค้าคงเหลือได้ทันที

ระบบ POS

    

ระบบ POS มีการตัดยอดสินค้าเข้า – ออก หรือที่เราเรียกกันว่า Inventory Stock คือ เราสามารถใช้ประโยชน์ และการคาดคะเนอย่างแม่นยำในการสต๊อกสินค้า โดยผู้ประกอบการสามารถใช้ตัวระบบ POS เช็คสต๊อกสินค้า ทั้งสินค้าคงเหลือ หรือสินค้าที่ต้องเติมสต๊อก ให้แก่ร้านค้าภายในวันนั้น ๆ 

โดยส่วนมากการทำสต๊อกสินค้าจะแบ่งเป็นรายวัน เป็นรายสัปดาห์ หรือรายเดือน เพื่อให้การสต๊อกสินค้าเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับร้านค้า และระบบ POS ยังสามารถอ่านข้อมูล (Data) จากการซื้อ – ขาย และการชำระเงินทุกครั้งที่เกิดขึ้นระหว่างร้านค้ากับลูกค้า เรียกได้ว่า โปรแกรม POS จะทำให้ผู้ประกอบการหรือหน้าร้านสามารถทราบจำนวนสต๊อกสินค้าคงเหลือในร้าน ได้อย่าง Real Time.

3.ระบบ”POS” ช่วยในการวางแผนการจัดการภายในร้าน

ระบบ POS

เนื่องจากระบบ POS ทำให้รับรู้ถึงสถานการณ์การซื้อ – ขาย รวมไปถึงการสต๊อกสินค้า ทั้งหมดภายในร้าน คุณจึงสามารถนำข้อมูลเกี่ยวกับการขาย และข้อมูลอื่น ๆ ที่จำเป็นของแต่ละเดือน มาวางแผนการขายในเดือนต่อ ๆ ไปได้ หรือที่เราเรียกว่า Report เพราะตัวระบบ POS  นอกจากจะช่วยเรื่องการจัดการภายในร้านทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน ระบบ POS ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้อีกด้วย.

รวมถึงการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ เพื่อส่งเสริมการขายหรือผู้ประกอบการสามารถจัดแคมเปญ โปรโมชั่นให้กับสินค้านั้น ๆ ได้อีกด้วย เช่น หน้าร้านของเราสินค้าประเภท A ขายดีมาก แต่สินค้าประเภท B ค้างสต๊อกมาเป็นเวลานาน หน้าร้านจึงสามารถวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว เพื่อจัดโปรโมชั่นที่น่าดึงดูดให้กับลูกค้า เกี่ยวกับสินค้าประเภท B ได้ เป็นต้น

4.ช่วยให้การเปิดหน้าร้านเป็นเรื่องง่าย

ระบบ POS

แน่นอนว่า ก่อนจะเปิดหน้าร้าน ตัวร้านค้าหรือผู้ประกอบการเอง ต้องเลือกระบบ POS ช่วยให้คุณสามารถจัดการร้านได้ง่าย ๆ เพิ่มความสะดวก และประหยัดเวลา ลดขั้นตอนที่ยุ่งยากไป เพื่อให้การเปิดร้านเป็นเรื่องง่าย เช่น การนับสต๊อกสินค้า, ยอดขายรายวันหรือรายเดือน, การออกใบกำกับภาษี, ข้อมูลหลังบ้านต่าง ๆ ว่าสินค้าประเภทไหนขายดี และรองรับช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย นอกจากนั้นระบบ POS ยังช่วยให้การซื้อ – ขาย ภายในร้านมีความสะดวก และรวดเร็ว ง่ายต่อการจัดการหน้าร้านได้เป็นอย่างดี.

ระบบ POS ตอบโจทย์กับร้านค้าอย่างไร ? 

สำหรับร้านค้าแล้วนั้น ระบบ POS หรือระบบ Point of Sale จะช่วยลดต้นทุน ในการดูแลและตรวจสอบสต๊อกสินค้า และมีการอัพเดทข้อมูลให้แบบ Realtime ประหยัดเวลา และลดขั้นตอนที่ยุ่งยากอย่างการตรวจสอบ หรือนับสต๊อกสินค้าคงเหลือเอง ช่วยจัดการข้อมูลระบบพนักงาน และระบบสมาชิก อีกทั้งยังสามารถช่วยวางแผนการจัดโปรโมชั่น โดยสามารถดูได้ว่าสินค้าตัวไหนขายดี สินค้าตัวไหนค้างสต๊อก และสินค้าตัวไหนควรเป็นสินค้าที่ต้องจัดโปรโมชั่น.

ดังนั้น ระบบ POS (Point of Sale) จึงเป็นตัวช่วยสำคัญมาก ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ ในการจัดการสินค้า ยอดขาย ดูแล และตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ภายในร้านได้

หากคุณกำลังมองหาระบบ POS ที่ดี ขั้นตอนง่ายไม่ยุ่งยาก และตอบโจทย์การเปิดหน้าร้านได้เป็นอย่างดี “MultiOne” เราเป็น Platform ที่มีระบบ POS คอยให้บริการ “MultiOne” ยังสามารถช่วยให้คุณจัดการสต๊อกสินค้า ข้อมูลสินค้า ยอดขาย หรือข้อมูลพนักงานได้ง่าย ๆ เรียกได้ว่าขั้นตอนที่วุ่นวายจะหมดไป ถ้าคุณมีระบบ POS เป็นตัวช่วยในการเปิดร้าน และการจัดการ (Management) ผ่านแพลตฟอร์ม “MultiOne” สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลย คลิกที่นี่

หากอยากติดตามการแนะนำของน้องมัลตี้ในเรื่องอื่น ๆ ล่ะก็ เข้าไปดูได้เลย ที่นี่  และ มารอติดตามกันว่า น้องมัลตี้จะเอาอะไรมาฝาก ในครั้งหน้าได้ ที่นี่

Learn More

ทำเลที่ตั้ง เป็นอีกหนึ่งปัญหา ที่ผู้ประกอบการต้องพบเจอบ่อย ๆ ก็คือ การมองหาทำเลที่ดี และเหมาะสมกับหน้าร้าน  ทำเลที่ตั้ง ถือเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งอาจถือได้ว่า เป็นหัวใจของการเปิดหน้าร้านเลยก็ว่าได้.

แล้วทำเลที่ตั้งสำคัญยังไง ทำเลไม่ดีจะประสบความสำเร็จได้มั้ย ค่าเช่าแพงแปลว่าทำเลดีจริงหรือเปล่า และอีกหลากหลายคำถามที่อาจจะผุดขึ้นมา.

วันนี้ น้องมัลตี้จะพาไปไขข้อสงสัย ว่าการจะเปิดหน้าร้านนั้น เราจะพิจารณาทำเลที่ตั้งอย่างไรให้เหมาะสม และตอบโจทย์ที่สุด ทำเลแบบไหนดี แล้วทำเลแบบไหนกันนะที่ควรเลี่ยง ?

1.ทำเลที่ตั้ง ที่ลูกค้าเดินทางสะดวก

 

การเดินทาง การคมนาคมเป็นสิ่งสำคัญ ลูกค้าส่วนใหญ่ มักจะเลือกร้านที่เดินทางสะดวก ไม่ยุ่งยาก ไม่อันตราย หรือ ซับซ้อนจนเกินไป ยิ่งหน้าร้านที่ขนส่งสาธารณะเข้าถึง ก็จะยิ่งดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้นนะ โดยตัวเลือกที่อาจนำมาพิจารณาในการหาทำเล มีดังนี้

  • การขนส่งสาธารณะ
  • ความเร็วของการจราจรโดยเฉลี่ย มีรถแออัดเกินไปหรือเปล่า
  • ความหนาแน่นของการจราจรโดยเฉลี่ย
  • ความปลอดภัยของถนน บริเวณทำเลที่ตั้ง ( ไม่ควรตั้งร้านบริเวณที่อันตรายอย่างทางโค้ง หรือระหว่างวงเวียน )

2.ทำเลที่ตั้ง ที่มีที่จอดรถเพียงพอ

ที่จอดรถก็สำคัญ ถ้ามีหน้าร้าน แต่ไม่มีที่จอดรถ แบบนี้ก็จะลำบากลูกค้าใช่มั้ยล่ะ การเลือกทำเลที่ดี ก็ควรมีที่จอดรถเพียงพอต่อลูกค้า เพื่อความสะดวกของลูกค้า และความปลอดภัยของท้องถนน. เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าที่จอดรถไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะ ต่อให้เปิดร้านที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีแต่สินค้าดี ๆ จากแบรนด์ดัง ๆ แต่ถ้าไม่สามารถตอบโจทย์ในข้อนี้ได้ ลูกค้าก็คงไม่ต้องการเข้าร้านเช่นกัน เรื่องของที่จอดรถ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องคิดมาแล้ว ว่าที่จอดรถนั้น จะสามารถรองรับรถลูกค้าได้เพียงพอ และ อำนวยความสะดวก ต่อลูกค้าทุกท่านไหม? จะเป็นเรื่องดีมาก หากเจ้าของร้าน มีที่จอดรถเป็นของร้านเอง.

3.ทำเลที่ตั้ง ที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

ทำเลดีแต่ไม่มีลูกค้า อาจเพราะทำเลของเรา ไม่ได้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ในบริเวณนั้นหรือเปล่านะ ดังนั้น การพิจารณากลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ในบริเวณทำเลที่ตั้ง ก็เป็นอีกสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม ทำเลขายของดี แต่กลุ่มเป้าหมายไม่ตรง อาจจะทำให้เราไม่มีลูกค้ามากพอ เท่าที่ควร อย่าลืมเช็คจุดนี้กันดี ๆ ล่โดยสำรวจผู้คน บริเวณทำเลที่ตั้งนั้นว่า…เป็นคนประเภทไหน อายุเท่าไหร่ การศึกษากลุ่มไหน ระดับรายได้ รสนิยม และที่อยู่บริเวณนั้น มีกลุ่มอาชีพหลักใดบ้าง เช่น กลุ่มคนออฟฟิศ , กลุ่มเด็มหาวิทยาลัย , กลุ่มเด็กนักเรียน , กลุ่มนักท่องเที่ยว ฯลฯ รวมถึง การพิจารณาช่วงเวลาพักของกลุ่มลูกค้าแต่ละประเภท เช่น นักศึกษาจะพักและออกมาซื้อของช่วงเย็นถึงค่ำ ๆ รวมไปถึงการดูปริมาณคนที่อาศัยบริเวณนั้น หรือ คนที่ผ่านไปมามีมากน้อยเพียงใด. 

4.เลี่ยงพื้นที่แออัด

 

พื้นที่ที่คนหนาแน่นเกินไป ก็ไม่ใช่ข้อดี ทั้งแง่ของภาพลักษณ์ และความสะดวกสบาย บางทีคนเยอะ แออัดเกินไป จะทำให้ลูกค้ารู้สึกอัดอัด  ดังนั้น เทคนิคการเลือกทำเลที่ดี ควรมองหาทำเลที่มีความโล่ง โปร่งสบาย และไม่แออัดจนเกินไป.

 

ทำเลที่ตั้งไม่ดีแต่ไม่มีทางเลือก ควรทำยังไง ?

 

ถึงแม้ว่าทำเลที่ตั้งจะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ ก็ต้องยอมรับว่า บางครั้งค่าเช่าพื้นที่ อาจจะสูงจนเกินจะรับไหว และ อาจจะทำให้เพื่อน ๆ มีตัวเลือกไม่มากนัก ดังนั้น น้องมัลตี้จึงอยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ลองมองหาตัวช่วยเสริม มาช่วยในการขาย เช่น การใช้ช่องทางออนไลน์ ในการขาย เพื่อน ๆ จะสามารถสร้างรายได้ ทั้งจากหน้าร้าน และ ช่องทางออนไลน์ 

ถ้าเพื่อน ๆ กำลังสนใจเปิดหน้าร้านมัลติแบรนด์ แต่ยังไม่มีตัวช่วยในการขายผ่านช่องทางออนไลน์ น้องมัลตี้มีแพลตฟอร์มดี ๆ มานำเสนอ นั่นก็คือ MultiOne Platform ตัวช่วยให้เพื่อน ๆ ที่กำลังเปิดหน้าร้านมัลติแบรนด์ สามารถจัดการสต๊อกสินค้าได้ง่ายขึ้น เรามี Line OA ที่จะช่วยให้เพื่อน ๆ สามารถขายได้ทั้งออนไลน์ และ ออฟไลน์  พร้อมด้วยฟังก์ชันน่าสนใจอีกมากมาย อาทิ ระบบ Matching ที่จะช่วยให้เพื่อน ๆ สามารถหาแบรนด์สินค้า ที่เหมาะสมกับร้านได้ง่าย ๆ แถมเรายังมีแบรนด์สินค้ามากมาย ให้เลือกด้วยนะ น่าสนใจใช่ม้าาา~ 

ถ้าสนใจอยากเป็นพาร์ทเนอร์กับน้องมัลตี้ เพื่อน ๆ สามารถ กดที่นี่ เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตลอดเลยน้า มาเป็นร้านค้าพาร์ทเนอร์กับน้องมัลตี้เยอะ ๆ น้า.

 

หากอยากติดตาม การแนะนำของน้องมัลตี้ ในเรื่องอื่น ๆ ล่ะก็ เข้าไปดูได้เลย ที่นี่ และ มารอติดตามกันว่า น้องมัลตี้จะเอาอะไรมาฝาก ในครั้งหน้าได้ ที่นี่

 

Learn More

เลือกหน้าร้านฝากขาย อย่างไรให้ปัง วันนี้ นัองมัลตี้จะมาให้ความรู้กับทุกคน ว่า ก่อนที่แบรนด์จะนำสินค้าไปฝากขายเนี่ย ควรจะ เลือกหน้าร้านฝากขาย จากปัจจัยอะไรกันบ้าง!!!!

ในยุคการขายของออนไลน์ การสร้างแบรนด์ หรือ สินค้าเป็นของตัวเองนั้น เป็นเรื่องที่ง่ายดาย และเริ่มสร้างได้ แม้จะอยู่ในวัยเรียน แต่ก็มีข้อแม้ในเรื่องของคอนเซ็ปต์สินค้าที่ไม่แปลกใหม่ ซ้ำจำเจ แม้แต่การทำคอนเทนต์ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ยากขึ้น ทั้งยังมีแบรนด์ใหม่ ๆ ผุดขึ้นมาอย่างกับดอกเห็ด ทำให้มีคู่แข่งค่อนข้างมาก และแน่นอนว่า ถ้าอยากเพิ่มยอดขายให้ตัวเอง ก็ต้องเพิ่มช่องทางที่นอกเหนือจากการขายในออนไลน์แค่อย่างเดียว

ดังนั้น สำหรับใครที่กำลังหาหน้าร้านฝากขายอยู่ และยังไม่รู้ว่าต้องเลือกหน้าร้านอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ต้องทำยังไงถึงจะขายดี มีกำไร วันนี้ น้องมัลตี้ก็มี 5 สิ่งที่ควรพิจารณา ก่อนที่จะเลือกหน้าร้านฝากขายมาด้วยนะ ลองดูกันเล้ยยย.

สิ่งที่ 1 พิจารณาคอนเซ็ปต์ของหน้าร้าน

แน่นอนว่า สิ่งแรกที่ควรพิจารณา คือ คอนเซ็ปต์ของหน้าร้านฝากขาย ว่าตรงกับกลุ่มลูกค้าของเราหรือเปล่า ช่วงราคาที่ใกล้เคียงกัน กับสินค้าอื่น ๆ ภายในร้าน และสไตล์ของสินค้าเรา เข้ากับหน้าร้านมั้ย หากเลือกคอนเซ็ปต์หน้าร้านฝากขาย ไม่ตรงกันคอนเซปต์ของสินค้าล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น น้องมัลตี้ จะยกตัวอย่างให้เห็นกันชัด ๆ เอง อย่างแรกเลย ที่จะเกิดขึ้น เมื่อเราเลือกคอนเซ็ปต์หน้าร้านฝากขาย ไม่ตรงกับสินค้าของเรา คือ  ลูกค้าที่เข้ามา เพราะจะซื้อสินค้า ตามคอนเซ็ปต์ของร้าน ก็จะไม่สนใจสินค้า ที่เราฝากขายไปแน่นอน นอกจากนี้ ร้านฝากขายอาจจะไม่รับสินค้าของเรา ไปลงหน้าร้าน เพราะขัดกับคอนเซ็ปต์ ของหน้าร้านฝากขาย โดยสิ้นเชิง พอเห็นกันหรือยังว่า การเลือกคอนเซ็ปต์ ของหน้าร้านฝากขาย ให้ตรงกับ สินค้าของเรา มันสำคัญแค่ไหน.

สิ่งที่ 2 พิจารณาทำเลที่ตั้ง

สิ่งต่อมา ที่ต้องพิจารณา แน่นอนว่า คงหนีไม่พ้นทำเลที่ตั้ง สินค้าที่เราฝากขายนั้น จะขายดีหรือไม่ ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า ทำเลที่ตั้งของหน้าร้านฝากขาย อยู่ในบริเวณ ที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหรือเปล่า ลูกค้าบริเวณรอบ ๆ มีรายได้เท่าไหร่ ปริมาณผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบ มีมากเท่าไหร่ อยู่ในช่วงวัยไหน ทำอาชีพอะไร.สิ่งเหล่านี้ จะช่วยให้คุณวิเคราะห์ได้ว่า สินค้าของเราตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้าในพื้นที่นั้นหรือเปล่า แล้วทำเลในจุดไหน ที่จะทำให้เราได้ลูกค้าเป้าหมาย ที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าของเราได้มากที่สุด. 

หากคุณพลาด ที่จะเลือกทำเลที่ตั้ง ของหน้าร้านฝากขาย สถานการณ์ของสินค้าที่คุณฝากขาย จะค่อนข้างย่ำแย่ เลยทีเดียว น้องมัลตี้ จึงแนะนำให้ทำสัญญาระยะสั้นไว้ก่อน.

ถ้ายังไม่มั่นใจ ว่าหน้าร้านฝากขายนั้น ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีพอหรือยัง บางครั้ง หน้าร้านฝากขายทำเลดีแค่ไหน แต่อาจประสบปัญหา ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจย่ำแย่ จนต้องปิดกิจการลง หรือ แม้แต่เหตุการณ์ ที่คาดเดาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน หากทำสัญญาระยะสั้นไว้ ก็จะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคุณ น้องมัลตี้เป็นกำลังใจให้น้าา.

สิ่งที่ 3 พิจารณาฐานลูกค้า

ในส่วนนี้ น้องมัลตี้อยากเสนอ ให้คุณดูฐานลูกค้าของหน้าร้านฝากขาย อย่างที่ทุกคนทราบกันว่า ฐานลูกค้าเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย แม้ว่า ที่ทำเลจะดีแค่ไหน หรือ คอนเซ็ปต์ของหน้าร้านฝากขาย จะตรงและถูกใจมากเท่าไหร่ แต่ ถ้าไม่มีฐานลูกค้าที่แน่นพอ ก็รับประกันได้ยาก ว่าสินค้าที่เราส่งไปฝากขายนั้น จะขายออกได้เมื่อไหร่ ดังนั้น น้องมัลตี้ขอแนะนำ ให้เลือกหน้าร้านฝากขาย ที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว ดีกว่าหน้าร้านฝากขายที่ไม่มีฐานลูกค้าเลย เพื่อให้สินค้า ที่ฝากขายหน้าร้านของคุณ มีเปอร์เซ็นต์ การขายออก ที่มากขึ้น.

สิ่งที่ 4 พิจารณาค่าเช่า

สิ่งต่อมา คือ การพิจารณาค่าเช่า ไม่ว่าจะเป็น ในส่วนของ ค่าเช่าแผง ค่าเช่า Shelf ค่าบล็อค หรือ แม้แต่ค่าเช่าราวเสื้อผ้า ก็ล้วนต้องผ่านการพิจารณา อย่างดี หากค่าเช่าแพงเกินไป ก็ไม่คุ้ม ที่จะนำสินค้าไปลงแน่นอน แต่ ไม่ใช่ว่าเห็นค่าเช่าแพง ก็ปัดตกหมดทุกร้านนะ ต้องดูด้วยว่า ที่แพงเพราะปัจจัยอะไร อาจจะแพง เพราะเป็น Shelf ที่อยู่โซนสินค้าแนะนำ มีฐานลูกค้าเยอะ ร้านอยู่ในทำเลที่ตั้งดี หรือ แม้แต่แพงเพราะร้านมีชื่อเสียง ปัจจัยเหล่านี้ ล้วนมีค่าให้พิจารณาดูอีกครั้ง ดังนั้น ควรคิดให้รอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจนะ.

สิ่งที่ 5 พิจารณาการจัดการภายในร้าน

ไม่ว่าใครก็ชอบทำเรื่องง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่ซับซ้อน กับการฝากขายก็เช่นกัน หากว่า เราจะต้องฝากขายกับหน้าร้าน ที่จัดการอะไรต่าง ๆ ภายในร้าน แบบยุ่งยาก วุ่นวาย เราก็คงไม่อยากร่วมงานด้วยหรอกใช่มั้ย ถ้ายังนึกภาพไม่ออกล่ะก็ น้องมัลตี้จะยกตัวอย่างให้ฟังเอง อย่างเช่น หากคุณต้องการที่จะเช็คสต๊อกสินค้า ภายในวันนี้ เพื่อจะนำสินค้าเติมล่วงหน้าได้ทัน แต่ ทางหน้าร้านช้า เพราะมัวแต่วิ่งเต้นทำเรื่องง่าย ให้เป็นเรื่องยาก อย่างการนั่งนับสต๊อกสินค้าทีละชิ้น จนไม่สามารถที่จะส่งสต๊อกสินค้าให้คุณได้ทันเวลา แบบนี้ สินค้าของคุณที่วางขายอยู่ ก็อาจจะหมดไปเฉย ๆ แถมยังส่งสินค้า เพื่อเติมสต๊อกไม่ทันอีกต่างหาก เป็นเรื่องที่ค่อนข้างแย่เลยใช่มั้ยล่ะ เพราะฉะนั้น น้องมัลตี้แนะนำให้เลือกร้านที่มีการจัดการภายในร้าน ที่เป็นระบบดีกว่า.

เป็นยังไงกันบ้าง หลังจากได้คำแนะนำจากน้องมัลตี้แล้ว เริ่ม ๆ มีหน้าร้านฝากขายในใจกันบ้างหรือยัง ถ้ายังไม่มี น้องมัลตี้มีแพลตฟอร์มปัง ๆ ที่นำเสนอแต่ร้านดี ๆ อย่าง MultiOne platform แพลตฟอร์มของน้องมัลตี้เองยังไงล่าาา ฝากเก็บไว้ในใจด้วยน้าาา >/\<

หากอยากติดตามการแนะนำของน้องมัลตี้ในเรื่องอื่น ๆ ล่ะก็ เข้าไปดูได้เลย ที่นี่  และ มารอติดตามกันว่า น้องมัลตี้จะเอาอะไรมาฝาก ในครั้งหน้าได้ ที่นี่

Learn More

ก่อนเปิดร้านมัลติแบรนด์ นั้น อย่างที่รู้กันดีว่า ผู้ประกอบการร้านค้ายุคใหม่นั้น จะต้องเปิดร้านให้มีการผสมผสานกัน ระหว่างออฟไลน์ และ ออนไลน์ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า สำหรับใคร ที่คิดจะเปิดร้านมัลติแบรนด์ในตอนนี้ ก็ยังคงต้องมีทั้งหน้าร้าน และเว็บขายของออนไลน์เลยแหละ ถึงจะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด และ อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้  และ แม้จะมีเทรนด์ขายของออนไลน์เกิดขึ้นมามากมาย แต่ก็ใช่ว่าหน้าร้านออฟไลน์จะไม่มีลูกค้าหรอกนะ เพราะว่ายังมีลูกค้าบางกลุ่ม ที่ชอบเดินช้อปปิ้งตามร้านต่าง ๆ และ รู้สึกสบายใจที่ได้เห็น ได้จับสินค้า และ ลองสินค้าด้วยตนเอง. ดังนั้น สำหรับใคร ที่กำลังตัดสินใจเปิดร้านมัลติแบรนด์อยู่ และ ยังไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง จึงจะเปิดร้านได้อย่างประสบความสำเร็จ ต้องทำยังไง ถึงจะขายดี มีกำไร หรือ แม้กระทั่งทำให้ลูกค้าติดใจ และ อยากกลับมาซื้อของที่ร้านอีก วันนี้น้องมัลตี้ก็มี 7 สิ่งที่ผู้ประกอบการมือใหม่ควรพิจารณา ก่อนเปิดร้านมัลติแบรนด์ มาฝากด้วย.

สิ่งที่ 1 วางคอนเซ็ปต์ร้านมัลติแบรนด์

     

แน่นอนว่า สิ่งแรกที่ผู้ประกอบการมือใหม่จะต้องพิจารณา คือ คอนเซ็ปต์ของร้าน เพื่อจะหาและเลือกสินค้าจากแบรนด์ ที่คอนเซ็ปต์ตรงกัน ตีตลาดกับกลุ่มลูกค้าที่ไม่กว้างจนเกินไป และ สิ่งสำคัญในส่วนนี้ คือ คอนเนคชั่นกับแบรนด์ เพราะคอนเนคชั่นนั้น เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยให้สิ่งที่เจ้าของธุรกิจต้องการเกิดขึ้นได้ง่ายในพริบตา.

สิ่งที่ 2 พิจารณาค่าเช่า

     

สิ่งต่อมาที่ผู้ประกอบการจะต้องมี คือ พื้นที่ในการเปิดหน้าร้านของตัวเอง จึงต้องหาเช่าพื้นที่ ( หากไม่มีพื้นที่เป็นของตัวเอง ) ต้องคำนวณทั้งค่าเช่า ยอดขาย และ กำไรไว้ล่วงหน้าด้วยนะ จะได้วางแผนเปิดร้านค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอย่าลืมที่จะสำรวจว่า ทำเลที่จะเช่านั้นมีลูกค้าเราอยู่หรือเปล่า คำนวณให้ละเอียด ทั้งราคาที่จะขายสินค้า ราคาค่าเช่า ค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ รวมถึงค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ลองเขียนออกมาเป็นข้อ ๆ แล้วคุณจะเห็นภาพชัดยิ่งขึ้น

ไหนจะต้องเลือกทำเล หาที่ปล่อยเช่าอีก  และแม้จะได้ทำเลที่คิดว่าดีที่สุด ก็อาจสะดุดเพราะเศรษฐกิจแย่ ไม่มีลูกค้าหรือปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน  เพราะฉะนั้น คุณควรหลีกเลี่ยงการเซ็นสัญญาระยะยาว จะได้ไม่มีข้อผูกมัดมากเกินไปตั้งแต่เริ่มเปิดร้านขายของ.

สิ่งที่ 3 คาดการณ์ปริมาณลูกค้า

 

น้องมัลตี้จะพาคุณไปสำรวจปริมาณลูกค้า ให้คุณดูลูกค้าบริเวณรอบที่ทำเลในการเปิดร้านมัลติแบรนด์ของคุณก่อน ว่าคอนเซ็ปต์ของสินค้าที่จะขายตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้าในพื้นที่นั้นหรือเปล่า ปริมาณลูกค้าที่จะเข้าร้านอยู่ที่เท่าไหร่ รายได้ของผู้คนบริเวณที่ทำเลเป็นอย่างไร หรือว่า ต้องขายสินค้าแบบไหน   ร้านมัลติแบรนด์ของคุณ ถึงจะโดดเด่น และได้รับความสนใจจากลูกค้า.

 

สิ่งที่ 4 รู้ขั้นตอนการทำงานอย่างถี่ถ้วน

     

ถ้าหากคิดจะเป็นเจ้าของกิจการแล้ว คุณต้องทำงานให้หนักขึ้น เพราะนี่คือร้านของคุณ คุณไม่สามารถมีรายได้ที่แน่นอน เหมือนมนุษย์เงินเดือน เพราะฉะนั้น คุณจะต้องคิดเสมอว่า การเปิดร้านมัลติแบรนด์ครั้งนี้ คือ ธุรกิจที่คุณจะต้องดูแล และพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อให้ร้านของคุณไปรอด

สิ่งที่สำคัญและควรทำในการเป็นนายตัวเองนั้น คุณไม่สามารถหยุดทุกอย่างได้ตามใจตัวเอง แต่ต้องลงมือทำทุกขั้นตอนด้วยตนเอง และ รู้ขั้นตอนการทำงานอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด เริ่มตั้งแต่วิธีการติดต่อ และ การหาซัพพลายเออร์ การสั่งของจากแบรนด์ต่าง ๆ  การทำบิล ศึกษาการตลาด การเช็คสต๊อกสินค้า หรือ แม้กระทั่งการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ซึ่งในฐานะผู้ประกอบการแล้ว คุณจะต้องรู้วิธีการจัดการสิ่งเหล่านี้ อย่างละเอียด ถูกต้อง และ มีประสิทธิภาพ.

สิ่งที่ 5 ขายสินค้าราคาเที่ยงธรรม

ไม่ว่าใคร ๆ ก็ชอบของดีมีคุณภาพ ในราคาที่ต้องจับต้องได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น อย่าขายสินค้าราคาที่สูงเกินราคาที่แบรนด์กำหนด และ ต้องไม่ตั้งราคาที่ต่ำจนเกินไป จะได้ไม่เข้าเนื้อตัวเองจนขาดทุน ลองศึกษาตลาด เปรียบเทียบราคาสินค้า และ ศึกษาคู่แข่งเพื่อทำโปรโมชั่นต่าง ๆ จากนั้นก็ตั้งราคาสินค้า  กับ    โปรโมชั่นที่ใกล้เคียง เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่า สินค้าของคุณราคาสมเหตุสมผล กับคุณภาพของแต่ละแบรนด์.

สิ่งที่ 6 ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย

จะเห็นกันทั่วไปว่า ร้านค้าชั้นนำในห้าง หรือ แบรนด์ดังต่าง ๆ นั้นล้วนใช้ระบบ POS กัน นั่นก็เพราะว่า ระบบ POS คือ ซอฟต์แวร์ หรือ โปรแกรมขายหน้าร้านอัจฉริยะ ที่ช่วยให้การซื้อ – ขายรวดเร็ว สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น คุณไม่ต้องมานั่งจำราคา หรือ จดทุกอย่าง แค่เพิ่มสินค้าเข้าไปในระบบหลังบ้าน ก็ขายหน้าร้านและ ร้านค้าออนไลน์ได้ทันที อีกอย่าง เมื่อมีการขายสินค้าไป ระบบ POS  ก็จะตัดสต๊อกสินค้าโดยอัตโนมัติ หรือ ถ้าสต๊อกเหลือน้อย ระบบก็จะแจ้งเตือนทันที  ไม่ต้องมาเสียเวลานับ หรือ พลาดโอกาสในการขายไป.

แล้วทำไมคุณถึงจะพลาดการใช้ประโยชน์ จากเทคโนโลยีในส่วนนี้ล่ะ MultiOne platform เราให้บริการระบบจัดการร้านมัลติแบรนด์ พร้อมด้วยระบบ POS ที่ช่วยให้การขายของคุณง่าย และ สะดวกขึ้น 

แค่นี้ คุณก็จะสามารถจัดการร้านมัลติแบรนด์ ได้อย่างราบรื่น และ มีประสิทธิภาพมากขึ้น แถมลูกค้าก็จะได้ประสบการณ์การซื้อของดี ๆ จากร้านคุณแน่นอนน้องมัลตี้รับประกัน ! ! !

ถ้าคุณกำลังสงสัยว่า ระบบ POS สำคัญยังไงกับการทำธุรกิจ น้องมัลตี้มีบทความดี ๆ ให้อ่านเพิ่มเติม คลิกที่ลิงค์ได้เลย  https://bit.ly/3gpxfu0

 

สิ่งที่ 7 เข้าถึงลูกค้าให้เป็น

   

และแล้ว ก็มาถึงสิ่งสุดท้ายที่น้องมัลตี้จะแนะนำให้คุณได้ นั่นก็คือ การเข้าถึงลูกค้าของคุณให้เป็น คุณต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้า ว่าลูกค้าต้องการสินค้าคอนเซ็ปต์ไหน พฤติกรรมของลูกค้าเป็นอย่างไร เช่น ชอบใช้โซเชียลไหน ใช้แอพอะไรมากที่สุด ชอบเดินห้างหรือเปล่า หรือ ชอบแนวคาเฟ่ แต่งตัวสไตล์ไหน ก่อนจะเข้าร้านเรามีเหตุผลอะไร ในการตัดสินใจ.

หลังจากที่ทำความรู้จักกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแล้ว คุณต้องอย่าลืมที่จะสร้างการรับรู้ให้กับลูกค้า ซึ่งขั้นตอนนี้ มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะหากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไม่รับรู้การดำรงอยู่ของร้านคุณ  ธุรกิจคงพังไม่เป็นท่าอย่างแน่นอน เรื่องนี้อาจใช้การทำตลาดออนไลน์ ซึ่งประหยัดงบประมาณ แต่หากอยากสร้างการรับรู้ในวงกว้าง คุณอาจต้องลงทุนทำคอนเทนต์ต่าง ๆ เพื่อช่วยโปรโมท ในหลากหลายช่องทาง.

นอกจากนี้แล้ว คุณยังเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย ๆ อีกหลายช่องทาง เช่น การตกแต่งร้านไปในทิศทางที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายชอบ  ป้ายประกาศ ทำโปรโมชั่นเพื่อเชิญชวนลูกค้า และ ลงคอนเทนต์ทางโซเชียล ให้ลูกค้าได้ติดตามสินค้า และ บริการจากทางร้าน เพียงเท่านี้ ร้านของคุณก็จะดูน่าเชื่อถือ เป็นมืออาชีพ และ เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นแล้ว.

 

เป็นยังไงกันบ้าง หลังจากได้คำแนะนำจากน้องมัลตี้แล้ว เห็นได้ชัดเลยใช่มั้ยล่าา ว่าแม้ร้านค้าปลีกยุคใหม่จะมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง และ ทำให้ร้านค้าออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้นกว่าเดิม แต่ว่าร้านค้าปลีกออฟไลน์ ก็ยังมีโอกาสเติบโตไม่แพ้ร้านค้าออนไลน์เลยนะ ดังนั้น การจะเปิดร้านมัลติแบรนด์ให้ดี   มีกำไรในยุคนี้ ผู้ประกอบการจะต้องทำการบ้านให้หนัก และ ลงมืออย่างจริงจัง รวมถึง รู้จักนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในร้าน และ ใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ที่สำคัญต้องให้บริการที่ดีที่สุดกับลูกค้า และ รู้วิธีเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายด้วย แค่นี้ คุณก็จะเปิดร้านมัลติแบรนด์ให้สำเร็จได้ง่าย ๆ แล้ว น้องมัลตี้เอาใจช่วยนะ.

 

หากอยากติดตามการแนะนำของน้องมัลตี้ในเรื่องอื่น ๆ ล่ะก็ เข้าไปดูได้เลย ที่นี่  และ มารอติดตามกันว่า น้องมัลตี้จะเอาอะไรมาฝากในครั้งหน้า ที่นี่

Learn More

Business Partners ด้วยเทคโนโลยีและการเรียนรู้ การเข้าถึงข้อมูลที่ง่ายขึ้น ส่งผลให้มีการแข่งขันที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะด้านนวัตกรรม ความเข้าใจตลาด ความแปลกใหม่ของสินค้า หรือความที่มีเอกลักษณ์ของสินค้า แต่บางครั้ง จุดแข่งเหล่านี้ก็ยังไม่เพียงพอให้ธุรกิจเติบโต วันนี้น้องมัลตี้ขอแนะนำ “Business Partners หรือ พันธมิตรทางธุรกิจ” ที่จะมาช่วยให้ธุรกิจของเพื่อน ๆ เติบโตได้อย่างยั่งยืน

 

มาเริ่มกันที่ “Business Partners หรือ พันธมิตรทางธุรกิจ” คืออะไร?

 

Business Partners หรือ พันธมิตรทางธุรกิจ ก็คือผู้ประกอบการธุรกิจเริ่มตั้งแต่ 2 กิจการขึ้นไปทำสัญญาที่จะร่วมลงทุนเพื่อแสวงหาผลกำไรร่วมกัน พึ่งพากัน เป็นคู่ค้าที่ดีต่อกัน ช่วยกันส่งเสริมธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน มีการกำหนดหน้าที่และการทำงานร่วมกันของคู่ค้า ทำข้อตกลงเกี่ยวกับการแบ่งรายได้ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันที่กิจการจะได้รับ ร่วมกับบริษัทคู่ค้าอีกด้วย

อยากมี Business Partnersต้องทำยังไง?

 

1. ธุรกิจของเราและพาร์ทเนอร์ จะต้องส่งเสริมกัน

น้องมัลตี้แนะนำว่า เพื่อน ๆ ควรสำรวจตลาดและคัดเลือกว่าแบรนด์ไหน ธุรกิจไหน ที่เหมาะสมหรือมีความใกล้เคียงกันกับธุรกิจของเพื่อน ๆ ใครที่เหมาะจะมาเป็นพาร์ทเนอร์กับเราได้บ้าง ใครที่จะช่วยให้เราเติบโตหรือเราสามารถช่วยใครเติบโตได้บ้าง การจะมาเป็นพาร์ทเนอร์กัน ควรจะเป็นความสัมพันธ์ที่ win – win กันทั้งสองฝ่าย ช่วยส่งเสริมกันและกัน

หากใครที่ไม่รู้จะเริ่มยังไง MultiOne – Platform สามารถช่วยเพื่อน ๆ ได้นะ เพราะน้องมัลตี้และทีมงานได้คิด คัดสรรไว้แล้วว่าธุรกิจแบบไหน สินค้าแบบไหน ควรมีพาร์ทเนอร์เป็นใคร พวกเรายินดีช่วยเหลือเพื่อน ๆ และให้คำปรึกษากันแบบฟรี ๆ !!!

 

Business Partner

 

2. ออกแบบ “Business Model” ที่สามารถทำงานร่วมกันได้ทั้งสองฝ่าย

รูปแบบของ Business Model

2.1 การเสนอผลประโยชน์ให้แก่พาร์ทเนอร์ ในกรณีที่พาร์ทเนอร์สามารถหาลูกค้าได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไร

เพื่อน ๆ อาจจะคุ้นเคยคำว่า ‘นายหน้า หรือ เซลล์ หากว่าพาร์ทเนอร์เราสามารถหาลูกค้ามาได้ ปิดการขายได้ เพื่อน ๆ อาจจะเสนอค่าตอบแทนมาในรูปแบบของค่าเงินแนะนำหรือค่าคอมมิชชั่น เราจะเป็นคนจัดการหลังการขายทั้งหมด ส่วนพาร์ทเนอร์ของเราก็จะได้ผลประโยชน์โดยที่ไม่ต้องทำอะไร win – win กันทั้งสองฝ่าย ทั้งเราและพาร์ทเนอร์

2.2 การขายสินค้าหรือบริการของเราให้กับพาร์ทเนอร์ โดยพาร์ทเนอร์สามารถทำกำไรหรือมีสินค้าเพิ่มจากเรา

ในกรณีที่เพื่อน ๆ เป็นผู้ผลิต พาร์ทเนอร์ของเพื่อน ๆ สามารถนำสินค้าไปขายต่อ ซึ่งราคาที่เราขายให้พาร์ทเนอร์ควรเป็นราคาพิเศษ มีกำไรให้พาร์ทเนอร์ เพื่อช่วยให้พาร์ทเนอร์ของเรามีความต้องการในการขายสินค้าของเพื่อน ๆ มากยิ่งขึ้น

ส่วนในกรณีที่เพื่อน ๆ ต้องการสินค้าจากพาร์ทเนอร์มาขาย ในส่วนนี้อาจจะมีการตกลงกันในเรื่องของค่าคอมมิชชั่น หรือค่า GP กับการฝากขายในกรณีที่เพื่อน ๆ ไม่อยากสต็อกสินค้าเอง วิธีนี้ก็เพิ่มกำไรและสร้างยอดขายเพิ่มเติมให้กับพาร์ทเนอร์ของเราเช่นกัน

2.3 หาพาร์ทเนอร์ที่สามารถทำในส่วนที่เราต้องการลดต้นทุน

            รูปแบบนี้เหมาะสำหรับส่วนงานที่เพื่อน ๆ ต้องการลดต้นทุน ไม่อยากแบกรับภาระ หรือไม่มีความเชี่ยวชาญในส่วนงานนั้น ๆ โดยเพื่อน ๆ สามารถหาคู่ค้าที่เข้ามารับงานในส่วนนั้นแทนได้ อาจเรียกได้ว่าเป็นคู่ค้าที่ให้บริการในแง่ของ Outsource Service’

 

3. ทำสัญญาข้อตกลงต่าง ๆ เป็นลายลักษณ์อักษรให้ชัดเจนทุกครั้ง

เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียผลประโยชน์หรือเกิดข้อผิดพลาดในการทำงาน ขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่ควรทำ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายมากที่สุด ซึ่งทาง MultiOne – Platform ก็ได้มีรูปแบบของสัญญาที่ได้จัดทำขึ้นมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทั้งเพื่อน ๆ และพาร์ทเนอร์ ได้มาทำข้อตกลงร่วมกัน เพียงแค่กรอกข้อมูลง่าย ๆ เพียง 1 คลิก ก็สามารถทำสัญญาได้ทันที ไม่ต้องรอ!

 

เรียนรู้และเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค ผ่านเครื่องมือตัวช่วยทำการตลาดออนไลน์

 

4. มีระบบการบริหารจัดการคู่ค้าทางธุรกิจแบบมืออาชีพ

ในกรณีที่มีผู้สนใจมาเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับเพื่อน ๆ มากมาย น้องมัลตี้ขอแนะนำให้เพื่อน ๆ จะต้องมีระบบที่ช่วยให้เพื่อน ๆ จัดการกับพาร์ทเนอร์ได้ง่ายขึ้น เช่น

– กำหนดยอดขายให้กับพาร์ทเนอร์อย่างยุติธรรม

หากพาร์ทเนอร์รายไหนทำยอดขายได้มาก เพื่อน ๆ อาจจะมอบสิทธิพิเศษในเรื่องของราคาให้แก่พาร์ทเนอร์รายนั้น

– การจัดการลำดับความสำคัญของพาร์ทเนอร์

แบ่งพาร์ทเนอร์ออกเป็นลำดับ โดยประเมินจากยอดขาย จำนวนลูกค้า วิธีการทำงาน สินค้า เป็นต้น

– อาจจะมีกิจกรรมมอบรางวัลให้กับพาร์ทเนอร์

เพื่อกระตุ้นยอดขายและก่อให้เกิดการแข่งขันระหว่างพาร์ทเนอร์กันเอง

– มีทีมงานที่ช่วยบริหารพาร์ทเนอร์ของเพื่อน ๆ โดยเฉพาะ

ผู้รักษาผลประโยชน์’ จะเป็นตัวแทนให้กับบริษัทเพื่อน ๆ ในการดูแลพาร์ทเนอร์แต่ละราย และคอยต่อรองผลประโยชน์ให้ลงตัว ชื่อตำแหน่งมักเรียกว่า ‘Partner Account Manager’ หรือ ‘Channel Account Manager’ เป็นต้น

 

“…การเลือกคู่ค้าที่ดีและเหมาะสมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากคัดเลือกคู่ค้าที่ดีได้ จะช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลัง
อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้คุณเติบโต ทำให้ความสัมพันธ์ที่ดีของคู่ค้าทั้งสองมั่นคงและยั่งยืน…”

 

จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา น้องมัลตี้คิดว่ามีประโยชน์มากเลยทีเดียวสำหรับเพื่อน ๆ ที่กำลังมองหาความก้าวหน้าทางธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืน แต่ในเรื่องของธุรกิจ หากมีความผิดพลาดนั่นหมายถึงเม็ดเงินที่สูญเสียไป น้องมัลตี้จึงขอนำเสนอ MultiOne – Platform แพลตฟอร์มที่จะช่วยจับคู่พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของเพื่อน ๆ ให้ง่ายมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องหาข้อมูลเอง ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ข้อมูลเอง เพราะทีมงานของเราได้วิเคราะห์และเตรียมข้อมูลที่จำเป็นไว้ให้เพื่อน ๆ นักธุรกิจกันหมดแล้ว อีกทั้งตัวแพลตฟอร์มก็ใช้งานง่ายอีกด้วย

 

หากเพื่อน ๆ มีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของ “Business Partners หรือ พันธมิตรทางธุรกิจ” หรืออยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ก็สามารถติดต่อมาได้ที่ MultiOne – ระบบจัดการร้านมัลติแบรนด์ หรือใครที่พร้อมแล้วกับการเป็นพาร์ทเนอร์หรืออยากหาพาร์ทเนอร์ ก็ติดต่อมาได้เช่นเดียวกัน น้องมัลตี้และทีมงานพร้อมซัพพอร์ตตลอดเวลา

 

 

อ้างอิง

กูนี่แหละเซลล์ร้อยล้าน./ (2561)./ วิธีการหา Business Partner ที่ช่วยให้คุณรวยง่ายขึ้น./ วันที่สืบค้น 17 สิงหาคม 2564./ เว็บไซต์: https://bit.ly/2XnbYuT

Adminzoe./ (2561)./ ทำไมต้องมี Business Partner?./ วันที่สืบค้น 17 สิงหาคม 2564./ เว็บไซต์: https://bit.ly/3k37BwD

Moneywecan./ (ไม่ทราบปีที่แต่ง)./ “พันธมิตรทางธุรกิจ” ความได้เปรียบทางการค้าที่ยั่งยืน./ วันที่สืบค้น 17 สิงหาคม 2564./ เว็บไซต์: https://bit.ly/3xVAIHj

Learn More

ชอปสินค้าออนไลน์ผ่าน Line OA ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า คนไทยเราส่วนใหญ่ล้วนใช้ “แอปพลิเคชัน LINE (ไลน์)” เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในเรื่องของการติดต่อสื่อสาร ไม่ว่าจะติดต่อเพื่อน ครอบครัว คนรัก หรือแม้กระทั่ง “การซื้อสินค้าออนไลน์”

โดยบางร้านอาจจะใช้ไลน์ใช้การติดต่อสื่อสารระหว่าง ร้าน – ลูกค้า แต่เพื่อน ๆ รู้ไหมว่าไลน์ ได้มีฟังก์ชั่น Line OA ที่เข้ามาช่วยในส่วนของการซื้อขายให้ง่ายขึ้นด้วยนะ ส่วนการใช้งานจะเป็นอย่างไร วันนี้น้องมัลตี้จะมาแนะนำวิธีการ “ชอปออนไลน์ผ่าน Line OA” ง่าย ๆ เพียง 3 ขั้นตอน จะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยย

 

ขั้นตอนแรก

การ ชอปสินค้าออนไลน์ผ่าน Line OA เพียงเพื่อน ๆ กดเข้าไปในช่องแชทของ Line OA ของร้านค้าพาร์ทเนอร์ในเครือ MultiOne จากนั้นกดตรงแถบเมนูร้านค้า ซึ่งจะปรากฏหน้าต่างของเว็บไซต์ของเรา ซึ่งในหน้าเว็บนั้นจะแสดงข้อมูลของสินค้าไว้มากมาย (เดี๋ยวน้องมัลตี้จะแปะตัวอย่างให้ดูนะ) จากนั้นให้เพื่อน ๆ เลือกสินค้าที่เพื่อน ๆ ต้องการมาใส่ตะกร้า

.

หน้าห้องแชทของร้านค้า

หน้าตาของเว็บไซต์

ชอปสินค้าออนไลน์ผ่าน Line OA

 

รายละเอียดสินค้า

 

มาต่อกันที่ขั้นตอนที่สอง

เมื่อเพื่อน ๆ เลือกสินค้าตามที่ต้องการครบแล้ว จากนั้นกดที่ ‘สรุปยอด’ แล้วก็มาตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนสินค้า ในส่วนนี้เพื่อน ๆ จะต้องกรอก ‘ชื่อ-ที่อยู่’ ด้วยนะ และอย่าลืมเช็คความถูกต้องด้วย! เมื่อตรวจสอบความถูกต้องแล้ว เพื่อน ๆ ก็ยังสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้ทางร้านส่งสินค้าผ่านบริษัทอะไร ไม่ว่าจะไปรษณีย์ไทย เคอรี่ หรือแฟลช และอื่น ๆ อีกมากมายตามที่ร้านค้ากำหนด เมื่อเลือกบริการขนส่งและตรวจสอบความถูกต้องแล้ว ก็ชำระเงินได้เลยยยย

หน้าสรุปยอด

รายละเอียดในการจัดส่งสินค้า

 

E-Commerce คืออะไร? มีกี่ประเภท? สำคัญหรือไม่?

 

ขั้นตอนสุดท้าย

การชำระเงิน ให้เพื่อน ๆ กดที่คำว่า ‘ชำระเงิน’ ก็จะมีข้อความของทางร้านเด้งขึ้นมา อาจจะเป็นเลขบัญชีหรือ QR CODE ของทางร้าน เมื่อเพื่อน ๆ ทำการชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ก็กดอัพโหลดหลักฐานการชำระเงินได้เลย

 

อัพโหลดหลักฐานการชำระเงิน

ชอปสินค้าออนไลน์ผ่าน Line OA

 

เสร็จเรียบร้อย!! เห็นไหมล่ะ ชอปออนไลน์ผ่าน Line OA ง่ายนิดเดียว

 

หากว่าใครมีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรืออยากสอบถามเพิ่ม สามารถติดต่อมาได้ที่ MultiOne – ระบบจัดการร้านมัลติแบรนด์ หรือหากว่าใครอยากให้น้องมัลตี้เขียนบทความอะไร อยากได้ความรู้เรื่องไหนเพิ่มเติม ก็สามารถแนะนำกันเข้ามาได้เลย

Learn More

“พฤติกรรมของผู้บริโภค” เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไม่สำคัญสำหรับการทำธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ รวมไปจนถึง SME ล้วนต้องศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อให้เข้าใจและนำมาปรับใช้กับกลยุทธ์ของเรา เพื่อช่วยเพิ่มยอดขาย รายได้ รวมไปถึงฐานลูกค้า วันนี้น้องมัลตี้จะมาแนะนำ เครื่องมือที่จะมาช่วยทำการตลาดออนไลน์ เพื่อให้เพื่อน ๆ ได้เรียนรู้และเข้าใจ ‘พฤติกรรมของผู้บริโภค’ ให้มากขึ้น

 

Google Analytics

เครื่องมือฟรีที่ใครหลายคนก็รู้จัก Google Analytics หรือ GA เป็นเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์คนที่เข้ามาในเว็บไซต์ของเรา ซึ่งเราสามารถดูได้ว่าผู้ใช้บัญชีนั้นใช้เวลาในเว็บไซต์เรานานขนาดไหน เข้าไปดูข้อมูลกี่หน้า เลื่อนดูส่วนไหนของเว็บไซต์เราบ้าง คลิกตรงไหน กดตรงไหน เข้ามาจากตรงไหน รวมไปถึงใครที่กดเข้ามาแล้วกดออกเลย

พฤติกรรมของผู้บริโภค

 

เรียกได้ว่าบันทึกทุกพฤติกรรมของผู้บริโภค ผู้ใช้งาน ทำให้เราเห็น รับรู้ และเรียนรู้พฤติกรรมของผู้บริโภคได้อย่างสะดวกสุด ๆ ซึ่งจากข้อมูลที่กล่าวมา เราสามารถมาปรับใช้กับเว็บไซต์ของเรา ไม่ว่าจะบทความ การจัดหน้าเว็บไซต์ การตกแต่ง รวมไปถึงฟังก์ชั่นต่าง ๆ ในเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้งานใช้เวลาในเว็บไซต์ของเราให้มากที่สุด

 

จัดร้านอย่างไร? ให้ยอดขายพุ่ง เพิ่มยอดขายหน้าร้านด้วยหลักจิตวิทยา

 

Google Keyword Planner

หัวใจสำคัญของการทำเว็บไซต์ก็คือ Keyword ต่อให้บทความของเราจะเขียนดี ตกแต่งสวย อ่านเข้าใจง่าย ตอบโจทย์ลูกค้าสุด ๆ แต่ถ้าคีย์เวิร์ดไม่ตรงหรือไม่ดี แน่นอนว่ายอดอ่าน ยอดกดเข้าเว็บไซต์ของเราจะต้องน้อยแน่นอน ซึ่งการที่เราหรือใครก็ตามจะเข้าเว็บไซต์อะไรซักอย่าง ต้องค้นหาที่ Google บราวน์เซอร์ยอดนิยมอยู่แล้ว ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคสมัยนี้เน้นความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลา และเข้าถึงง่าย สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เว็บไซต์หรือบทความใดที่ขึ้นมาเป็นอันดับแรก ๆ ย่อมมีคนกดเข้าไปในเว็บไซต์เป็นจำนวนมากแน่นอน

 

..แล้วถ้าเราอยากให้เว็บไซต์ของเราขึ้นมาเป็นอันดับต้น ๆ ล่ะ ต้องทำอย่างไร ?

 

ทางเลือกที่สะดวกและไวที่สุดก็คือการยิงโฆษณาหรือการยิงแอด (Ads) ที่เพื่อน ๆ เคยได้ยินกัน แต่เพื่อน ๆ รู้ไหมว่าการยิงแอดแต่ละครั้งไม่ง่ายเลย ทั้งต้องหาข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย รายละเอียดต่าง ๆ ที่เราต้องรู้ เท่านั้นไม่พอ ยังเสียเงินอีกด้วย แต่ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งคือการเขียน SEO (Search engine optimization) คือกระบวนการที่พยายามเพิ่ม Traffic ที่มีคุณภาพ เข้าสู่เว็บไซต์ (ของคุณ) จาก Search Engine ต่าง ๆ ซึ่งล้วนต้องใช้ข้อมูลในส่วนของคีย์เวิร์ด ดังนั้น Google Keyword Planner จะเข้ามาเป็นส่วนช่วยในการเขียน SEO ที่จะทำให้คนเข้าถึงเว็บไซต์ของเรามากขึ้น

 

ที่มารูปภาพ : https://bit.ly/3DmFel4
YouTube Analytics

ยุคนี้สมัยนี้ สื่อที่ย่อยง่ายที่สุดก็คือวิดีโอ ทั้งเข้าถึงง่าย ใช้งานง่าย สะดวกสบายและประหยัดเวลาของผู้บริโภค จึงไม่แปลกหาก YouTube จะเข้ามามีส่วนในการช่วยเรื่องการทำการตลาดในอนาคตเป็นอย่างมาก ตัว YouTube Analytics ก็มีการบันทึกข้อมูลที่คล้ายกันกับ Google Analytics ที่จะแสดงตัวเลขต่าง ๆ ของพฤติกรรมผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นระยะการรับชมคลิปต่าง ๆ การค้นหา เพลย์ลิสต์ต่าง ๆ ทำให้เราเห็นพฤติกรรมบางอย่างที่น่าสนใจ และนำกลับไปพัฒนา content รูปแบบวิดีโอ เนื้อหาต่าง ๆ ของเราให้ดีขึ้นได้อีก สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มผู้บริโภค และที่สำคัญ YouTube Analytics สามารถใช้งานได้ฟรี!!!

 

Facebook Audience Insight

น้องมัลตี้ขอเช็คประชากรหน่อย มีใครไม่ใช้ Facebook บ้างงง? คนจำนวนน้อยมาก ๆ ที่ไม่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียยอดฮิตอย่างเฟซบุ๊ก ดังนั้น สื่อโซเชียลมีเดียที่รวบรวมกลุ่มลูกค้า กลุ่มเป้าหมายของผู้บริโภคไว้มากที่สุดก็คือเฟซบุ๊กนั่นเอง Facebook Audience Insight นั้น ก็ทำหน้าที่คล้ายกันกับ Google Analytics และ YouTube Analytics ที่กล่าวมาข้างต้น แต่จะสะดวกกว่าตรงที่จะแสดงให้เราเห็นพร้อมกับการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้เฟซบุ๊ก โดยสามารถเลือกได้เหมือนกับตอนทำการโฆษณา (ยิงแอด) แต่สามารถคัดกรอง (หรือ Filter) กลุ่มคนที่มีความสนใจในเรื่องต่าง ๆ ได้ เลือกช่วงอายุ ระบุเพศได้ เลือกรายละเอียดต่าง ๆ มากมายเพื่อให้ตรงกันกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจของเรา โดยตัวเฟซบุ๊กนั้นได้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนนี้มาให้เราหมดแล้ว จึงทำให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบายสุด ๆ

Similarweb

เป็นตัวเลือกสุดเจ๋งในการวิเคราะห์เว็บไซต์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ของเราเอง เว็บไซต์ที่น่าสนใจ รวมไปถึงเว็บไซต์ของคู่แข่ง จะทำให้เราเห็นถึงความเคลื่อนไหวภายในเว็บไซต์นั้น ๆ การเข้าถึงเว็บไซต์นี้เข้ามาจากที่ไหน ใช้คีย์เวิร์ดอะไร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราเห็นภาพมุมกว้างของตลาดและทำให้เราเข้าใจถึงวิธีการทำการตลาดของแต่ละแบรนด์ได้มากขึ้น สามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับใช้กับเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้น

 

เป็นอย่างไรกันบ้างเพื่อน ๆ หลังจากที่ได้รู้จักเครื่องมือเหล่านี้ ส่วนตัวแล้วน้องมัลตี้คิดว่าข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์มาก ๆ เลยนะ หากว่าเราใช้เครื่องมือเป็น วิเคราะห์เป็น วางแผนเป็นแล้ว เรื่องการตลาดที่เราเคยคิดว่ายากก็คงไม่ยากอีกต่อไป ทั้งนี้หากว่าใครมีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรืออยากสอบถามเพิ่ม สามารถติดต่อมาได้ที่ MultiOne – ระบบจัดการร้านมัลติแบรนด์ หรือหากว่าใครอยากให้น้องมัลตี้เขียนบทความอะไร อยากได้ความรู้เรื่องไหนเพิ่มเติม ก็สามารถแนะนำกันเข้ามาได้เลย

 

อ้างอิง

Smart startup academy./ (ไม่ทราบปี)./ 7 เครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้น./ สืบค้นวันที่ 10 สิงหาคม 2564./ เว็บไซต์: https://bit.ly/3iBHTA9

ไม่ทราบผู้แต่ง. (ไม่ทราบปี)./ การทำ SEO คืออะไร แล้วสำคัญอย่างไร ?./ สืบค้นวันที่ 10 สิงหาคม 2564./ เว็บไซต์: https://bit.ly/3yB75MF

Learn More